พระเครื่องทั้งหมด 3781 ชิ้น
ตะกร้าพระเครื่อง : ( )
สารบัญหลัก
พระท่านเจ้าคุณนรฯ (1394) พระเครื่องอื่น ๆ (973) เครื่องรางของขลัง (10) พระบูชา (67)
บทความ
ประวัติสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
ประวัติท่านเจ้าคุณนรฯ
ประวัติสมเด็จพระวันรัต
ตำนานพระพุทธรูป
หลัการดูพระเบื้องต้น
เปิดโลกสมเด็จ
เปิดโลกพระกรุ
ทำเนียบสมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติการสร้างพระเครื่อง
อ่านบทความทั้งหมด
กระดานสนทนา
เว็บบอร์ดพระวัดเทพศิรินทราวาส เว็บบอร์ดพระทั่วไป ซื้อขายแลกเปลี่ยน
เมนูช่วยเหลือ
วิธีการบูชา วิธีการชำระเงิน คำถาม-ตอบ เกี่ยวกับเรา แผนที่ร้านฯ ติดต่อเรา นโยบายคุกกี้
อัตราแลกเปลี่ยน
ตรวจสอบการจัดส่งสินค้า
 
ชำระผ่านธนาคาร ธ.ไทยพาณิชย์ 114-2-16175-0 ธ.กรุงเทพ 905-0-00725-2 ธ.กรุงไทย 086-037-0-04433-9


เอาซองราชการมาใช้ส่วนตัว

เรื่องเอาซองหนังสือราชการมาใช้ในกิจส่วนตัว

          วันหนึ่งเวลาเที่ยงวัน  พอสมเด็จพ่อฉันเพลเสร็จ  ก็มีข้าราชการพลเรือนชั้นพิเศษศิษย์ของสมเด็จพ่อคนหนึ่งคลานเข้าไปกราบนมัสการสมเด็จพ่อแล้ว  เอามือหยิบซองใส่หนังสือออกจากกระเป๋าเสื้อถวายสมเด็จพ่อแล้วกราบเรียนว่า

          “เกล้ากระผมได้เอากระดาษจดวันเกิดของบุตรมาถวาย เพื่อได้โปรดกรุณาตั้งชื่อให้บุตรเกล้ากระผมด้วย”  สมเด็จพ่อยื่นมือไปรับซองนั้นมาพลิกดูซองด้านหน้า แล้วก็พลิกดูด้านหลัง พลันสมเด็จพ่อก็พูดกับข้าราชการชั้นพิเศษคนนั้นว่า “ซองนี้เป็นตราครุฑใช้เฉพาะในราชการเท่านั้น  การที่เจ้าคุณลอบเอาซองราชการตราครุฑมาใช้ในกิจส่วนตัวเช่นนี้ย่อมไม่เป็นการถูกต้อง  เรื่องนี้เป็นเรื่องเส้นผมบังภูเขา  ถ้าคิดเพียงเผินๆ จะเห็นเป็นเรื่องเล็กไม่สลักสำคัญอะไร  แต่เมื่อคิดให้ลึกซึ้งแล้วจึงเห็นเป็นเรื่องใหญ่  สมมติว่าประเทศไทยมีข้าราชการ  300,000  คนทุกคนลอบเอาซองราชการตราครุฑมาใช้ในกิจส่วนตัวคนละ  1  ซอง  ราคาซองละ  10  สตางค์  รวมค่าซองตราครุฑที่ข้าราชการลอบเอาใช้ในกิจส่วนตัวจะเป็นเงินที่รัฐบาลต้องสูญเสียไปเปล่าๆ  30,000  บาท ฉะนั้น เจ้าคุณจงเอาซองตราครุฑนี้กลับคืนไปเปลี่ยนเอาซองไม่มีตราครุฑใส่กระดาษจดวันเกิดของลูกมาถวายฉันอีกครั้งหนึ่ง”

          ปรากฏว่าข้าราชการพิเศษผู้นั้นน้ำตาร่วงยกมือขึ้นพนมมือกราบเรียนสมเด็จพ่อด้วยเสียงตื้นตันรันทดว่า

          เรื่องนี้เกล้ากระผมนึกไม่ถึง  เกล้ากระผมขอสารภาพรับผิด  ต่อไปเกล้ากระผมจะสังวรระวังไม่ประพฤติเช่นนี้อีก”  พลางรับซองตราครุฑไปจากสมเด็จพ่อ  ล้ากราบนมัสการลากลับไปด้วยอาการเซื่อมซึมเพื่อนำไปเปลี่ยนซองใหม่

“ดีแล้ว”  สมเด็จพ่อกล่าวสัมโมทนียกถา

นี่เป็นนิทัศนอุทาหรณ์แสดงให้เห็นว่า  สมเด็จพ่อเป็นผู้ฉลาดสามารถในการปกครอง  ในการแนะนำสั่งสอน  มี

ความเพียรไม่เบื่อหน่ายในการอบรมศิษย์  มีความเมตตากรุณา  มุทิตาโอบอ้อมอารี  มีความห่วงใยในความเป็นอยู่และความประพฤติของศิษย์หวังเจริญสวัสดีแก่ศิษย์  แม้สึกหาลาเพศไปแล้วก็ยังหวังดีอุตส่าห์ตักเตือน  พร่ำสอนเมื่อมีโอกาส  ท่านจึงเป็นที่เคารพนับถือสักการบูชาของบรรดาศิษยานุศิษย์และสาธุชนทั่วกัน

          ผู้เขียนได้ลาสิกขาเมื่อวันที่  9  ตุลาคม  2468  สมเด็จพ่อได้กรุณารดน้ำมนต์ให้ศีลให้พรและมอบรูปของท่านขนาด  6   นิ้วแก่ผู้เขียน  โดยท่านได้ลิขิตข้อความเป็นประกาศนียบัตรไว้ในรูปนั้นดังนี้

           ที่ 210/4097                                    พระสาสนโสภณ  ผู้อุปัชฌายะ

             ให้พระจิตฺตภทฺโท  มหาดเล็กวิเศษ  อุ่ณห์จิตต์  นพรัก สัทธิวิหาริกที่  1710  เป็นที่ระลึกในการซึ่งหมั่นเล่าเรียนศึกษา  มีปฏิภาณปรีชา

สอบไล่นักธรรมตรีได้ชั้นเอกในสนามวัดเทพศิรินทราวาส  พ.ศ. 2468  เป็นผู้เอื้อเฟื้อในกิจวัตร 

ตั้งจิตปฏิบัติเรียบร้อยตามพระธรรมวินัย  ควรชมว่าได้เป็นผู้มีจรรยาอันสุภาพดีผู้หนึ่ง  แต่วันที่  9  ตุลาคม  พุทธศักราช2468

          ผู้เขียนได้กราบขอบพระคุณท่านและกล่าวปวารณาตัวขอรับใช้ท่านตลอดไป

          เมื่อวันเข้าพรรษาปี  2469  ผู้เขียนได้นำดอกไม้ธูปเทียนเครื่องสักการะไปถวายเข้าพรรษาสมเด็จพ่อที่กุฎีขณะท่านกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่  ณ  ที่รับแขก  เมื่อรับประเคนดอกไม้ธูปเทียนเครื่องสักการะแล้วท่านได้ปรารภกับผู้เขียนว่า

          “ฉันใฝ่ฝันอยากจะได้พระพุทธรูปสมัยสุโขทัย  ปางมารวิชัยที่งาม ๆ ไว้บูชากราบไหว้สักองค์หนึ่งมาเป็นเวลานานแล้ว  แต่ก็ยังหาไม่ได้  เพราะไม่มีลูกศิษย์ลูกหาซึ่งเป็นชาวสุโขทัย  หรือจังหวัดใกล้เคียงที่จะขอร้องให้ช่วยเสาะหาให้  บัดนี้ฉันได้  อุ่ณห์จิตต์  ซึ่งมีกำเนิดเป็นชาวสุโขทัยมาเป็นลุกศิษย์ของฉัน  ฉันจึงขอฝากความหวังเรื่องนี้ไว้กับอุ่ณห์จิตต์  ด้วย”

          ผู้เขียนได้กราบเรียนท่านว่า  “เกล้ากระผมจะพยายามหามาถวาย  แต่ต้องขอประทานเวลาสัก  2-3  เดือน”

          “ช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร  ฉันจะคอยฟังข่าวดีจากอุ่ณห์จิตต์”    สมเด็จพ่อพูดให้กำลังใจ

          กาลได้ล่วงมาประมาณ  2  เดือน  ผู้เขียนก็โชคดีไปพบพระพุทธรูปสุโขทัยหน้านาง  ปางมารวิชัย  หน้าตักกว้าง  1  ฟุตเข้าองค์หนึ่ง  มีพุทธลักษณะได้ส่วนสัดงามมาก  ผู้เขียนขอบูชาจากเจ้าของแล้วรีบนำไปถวายสมเด็จพ่อโดยไม่ชักช้า

          พอสมเด็จพ่อเห็นองค์พระพุทธรูปเข้าเท่านั้น  ท่านก็ยื่นมือออกมาประคองรับพระไปจากผู้เขียน  พลางอุทานด้วยความปรีดาปราโมทย์ว่า

          “ฉันขอขอบใจอุ่ณห์จิตต์เป็นอันมากที่ช่วยเอื้อเฟื้อหาพระพุทธรูปสมัยสุโขทัย  ซึ่งงามอย่างไม่มีที่ติมาให้ฉันบูชาสมดังใจหมาย  ต่อแต่นี้ไปฉันไม่ปรารถนาสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาเป็นกรรมสิทธิ์ส่วนตัวของฉันอักแล้ว”

          เมื่อคิมหันต์ฤดูปี  2470  เวียนมาถึง  ผู้เขียนได้พิจารณาเห็นสมควรนิมนต์สมเด็จพ่อ  ซึ่งเป็นกรรมการราช-บัณฑิตยสภาและเป็นผู้สนใจในเรื่องโบราณวัตถุสถานไปทัศนาจรเมืองพระร่วง  ( สุโขทัยและศรีสัชนาลัย )  ซึ่งเป็นถิ่นกำเนิดของผู้เขียน  เพื่อประดับความรู้และเป็นการพักผ่อนหย่อนอารมณ์ของสมเด็จพ่ออีกด้วย  เมื่อผู้เขียนนำความไปกราบเรียนให้ท่านทราบ  โดยผู้เขียนรับอาสาเป็นผู้อำนวยการเดินทางถวายความสะดวกสบายในเรื่องยานพาหนะเรื่องที่พักแรมและการขบฉันโดยตลอดทั้งไปและกลับ  ท่านก็เห็นพ้องด้วย  กำหนดการเดินทางไปในวันที่  15  เมษายน  2470  โดยทางรถไฟ

          เมื่อถึงวันเดินทาง  ผู้เขียนได้ไปรับท่านพร้อมด้วยผู้ติดตามอีก  3  คนจากวัดเทพศิรินทราวาสไปยังสถานีกรุงเทพฯ  ขึ้นโดยสารรถไฟไปลงที่สถานีชุมทางบ้านดารา-สวรรคโลกไปลงที่สถานีสวรรคโลก  พักที่เรือนรับรองของอำเภอสวรรคโลกด้วยความเอื้อเฟื้อของนายอำเภอสวรรคโลก

          รุ่งขึ้นวันที่  16  เมษายน  2470  หลังจากฉันภัตตาหารเช้าแล้ว  ผู้เขียนก็นิมนต์สมเด็จพ่อพร้อมด้วยผู้ติดตามขึ้นรถยนต์เดินทางยังสุโขทัยชมโบราณวัตถุสถานที่เมืองสุโขทัยเก่า  อาทิ  วัดมหาธาตุที่ซึ่งขอมดำดิน  ( พระยาเดโช )  โผล่ขึ้นมาเพื่อจะฆ่าพระร่วง  เนินประสาทวัดศรีสวาย  วัดตระพังเงิน  วัดเชตุพน  ศาลหลักเมือง  วัดชนะสงคราม  วัดเขาพระบาทน้อย  วัดตระพังทอง  วัดสระศรี  วัดตระกวน  ศาลตาผ้าแดง  ถนนพระร่วง  วัดพระพายหลวง  วัดศรีชุม  เตาทุเรียง    วัดสะพานหิน  วัดเจดีย์งาม  หอเทวาลัยมหาเกษตรพิมาน  วัดตึก  วัดป่ามะม่วง   วัดเจดีย์สี่ห้อง  วัดตระพังทองหลวง        วัดช้างล้อม  วัดเจดีย์สูง  วัดต้นจันทน์  วัดมังกรและวัดถ้ำหีบ  แล้วเดินทางกลับมาแวะชมโบราณวัตถุในพิพิธภัณฑ์สถานวัดราชธานี  และเยี่ยมสถานที่ราชการบางแห่งของจังหวัสุโขทัยแล้ว  กลับไปพักแรมที่อำเภอสวรรคโลก

          วันที่  17  เมษายน  2470  เวลา  8.00 น.  สมเด็จพ่อและคณะได้เดินทางโดยรถยนต์ไปลงที่หลักกิโลเมตร  16  ถนนสายสวรรคโลก-ศรีสัชนาลัยแล้วลงเรือข้ามฟากไปยังตะวันตกของแม่น้ำยม  อันเป็นที่ตั้งกรุงศรีสัชนาลัย  แห่งแรกที่ไปชมคือวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ  กุฎีพระร่วง  วัดเจ้าจันทน์  วัดโคกสิงราม  วัดกูบ  วัดสระประทุม  วัดเจดีย์เจ็ดแถว         วัดสวนแก้ว  วัดนางพระยา  หลักเมือง  พระราชวัง  วัดเขารังแร้ง  วัดพนมเพลิง  วัดช้างล้อมและแก่งหลวง  ครั้นได้เวลาอันสมควรสมเด็จพ่อและคณะได้เดินทางกลับสู่ที่พักอำเภอสวรรคโลก

          ตอนค่ำวันนั้นสมเด็จพ่อได้แสดงพระธรรมเทศนาเรื่อง  “ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม”  ให้ราษฎรชาว  สวรรคโลกประมาณ  1,200  คนที่ชุมนุมฟัง  ( ตามคำประกาศป่าวร้องของนายอำเภอสวรรคโลก )  ที่หน้าเรือนรับรอง

          เมื่อสมเด็จพ่อแสดงเทศนาจบลงแล้ว  บรรดาราษฎรที่มาฟังต่างแซ่ซ้องการสาธุการเป็นเสียงเดียวกันว่าท่านเทศน์สั่งสอนอย่างดีวิเศษเหลือเกิน  ตั้งแต่เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ไม่เคยได้ฟังเทศน์ที่ดีและเข้าใจง่ายอย่างนี้เลย  สาธุ

          วันที่  18  เมษายน  2470  เวลา  9.00 น.  ผู้เขียนได้นำสมเด็จและผู้ติดตาม  3  คนขึ้นรถยนต์จากอำเภอสวรรคโลกไปจังหวัดพิษณุโลก  เพื่อนมัสการพระพุทธชินราชตามความประสงค์ของสมเด็จพ่อ  เมื่อถึงจังหวัดพิษณุโลก  รถยนต์ของเราได้ไปหยุดที่หน้าวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ  ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธชินราช  ผู้เขียนได้นิมนต์สมเด็จพ่อลงจากรถยนต์  นำท่านและผู้ติดตามบ่ายหน้าไปที่พระวิหารพระพุทธชินราชก่อนจะเข้าไปในวิหารจะต้องผ่านประตูทำด้วยไม้สัก  ซึ่งมีลวดลายทองประดับมุกงดงามมาก  สร้างในรัชกาลพระเจ้าบรมโกษฐ์  เมื่อพ.ศ. 2283  ตรงกลางสันประตูที่เรียกว่า  “อกเลา” นั้นทำเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนแกะเป็นอุณาโลมอยู่ในบุษบก  มีรูปหนุมานแบกบุษบกไว้  ทั้งสองเป็นรูปฉัตร  ประชาชนส่วนมากนิยมนับถือกันว่าผ้าที่พิมพ์ด้วยหมึกดำออกจาก  “อกเลา”  นี้เป็นผ้าประเจียดศักดิ์สิทธิ์  สามารถทำให้  อยู่ยงคงกระพันและป้องกันภยันตรายต่าง ๆ ได้  พอสมเด็จพ่อก้าวเข้าประตูพระวิหาร  มองไปเห็นพระพุทธชินราชเป็น ครั้งแรกในชีวิตสมเด็จพ่อก็หยุดตะลึงแลจ้องดูพระพุทธชินราชอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเดินเข้าไปจุดธูปเทียนบูชาพระพุทธชินราชแล้วนั่งลงบนอาสนะกราบนมัสการด้วยเบญจางคประดิษฐ์เสร็จแล้วท่านก็เพ่งพินิจดูพระพักตร์  พระศอ  พระอุระ  พระพาหา  พระกร  พระหัตถ์  และพระบาทแล้วยังไม่สมใจ  ท่านลุกขึ้นเดินไปดูทางเบื้องซ้ายขององค์พระพุทธชินราช  แล้วย้ายมาดูทางเบื้องขวาแล้วไปนั่งพับเพียบอยู่ตรงพระพักตร์ของพระพุทธชินราชอีกครั้งหนึ่ง  พลางกล่าวกับผู้เขียนว่า

          “ ตั้งแต่ฉันเกิดมา  ฉันไม่เคยเห็นพระพุทธรูปหล่อขนาดใหญ่ที่ไหนมีพุทธลักษณะงดงามอย่างไม่มีที่ติเหมือนหลวงพ่อพระพุทธชินราช” ซึ่งในตำนานกล่าวไว้ว่า พระมหาธรรมราชาลิไทยหรือพระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกกษัตริย์องค์ที่  5    แห่งราชวงศ์พระร่วงเป็นผู้สร้าง  โดยโปรดให้ช่างเมืองชะเลียง  ( สวรรคโลก )  เชียงแสนและหริภุญไชยร่วมมือกันประสมดินและแกลบปั้นหุ้นเป็นพระพุทธเจ้า  3  รูป  คือพระพุทธชินราช  พระพุทธชินสีห์  และพระศาสดาให้เหมือนพิมพ์เดียวและใหญ่เล็กเท่ากัน  ครั้นเป็นเบ้าคุมพิมพ์แล้วจึงเอาพิมพ์เข้าเตาแล้วเอาทองสัมฤทธิ์หล่อให้พร้อมกันทั้ง  3  รูป    ปรากฎว่า รูปพระพุทธชินสีห์    และพระศาสดาทั้งสององค์นั้นแล่นเสมอกันเป็นองค์พระบริบูรณ์  ส่วนพระพุทธชินราชนั้นทองไม่แล่นเสมอกันมิได้เป็นองค์เป็นรูป  แม้ช่างพยายามหล่อถึงสามครั้งก็มิได้เป็นองค์  พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกและเจ้าประทุม-เทวีพระมเหสีจึงทรงตั้งสัตย์อธิษฐาน  ขอให้การหล่อพระพุทธชินราชจงเป็นผลสัมฤทธิ์เถิด  ก็ร้อนถึงอาสน์พระอินทร์ ๆ จึงเนรมิตเป็นตาปะขาวลงมาช่วยทำรูปพระคุมพิมพ์ปั้นเบ้าและทำตรีศูลไว้ที่พระนลาฏให้เป็นสำคัญ  ให้รู้ว่าพระอินทร์    ลงมาช่วย  เมื่อพิมพ์พระพุทธรูปแห้งแล้ว  จึงให้ช่างตั้งเตาหล่อพระพุทธชินราช  ด้วยอานุภาพพระอินทร์ทองก็แล่นเสมอกันสำเร็จเป็นองค์พระพุทธชินราชบริบูรณ์ทุกประการหาที่ติมิได้  ครั้นแล้วตาปะขาวก็เดินขึ้นไปทางเหนือ  ถึงหมู่บ้านหนึ่งก็อันตรธานหายตัวไป  พระพุทธชินราชจึงได้รับการยกย่องว่าเป็นพระพุทธรูปที่พระอินทร์สร้าง  โดยมีตรีศูลไว้ที่พระนลาฎเป็นสัญญลักษณ์   พระพุทธชินราชจึงเป็นพระพุทธรูปที่งดงามหนักหนาและศักดิ์สิทธิ์มาก 

          สมเด็จพ่อได้ใช้เวลานับเป็นชั่วโมงสงบองค์สงบอารมณ์อยู่ในสุนทรียสถานแห่งพระวิหารพระพุทธชินราชและท่านคงมีความสุขอย่างประหลาดเมื่ออยู่ต่อหน้าพระพุทธชินราช  จนถึงเวลาเดินทาง  สมเด็จพ่อพร้อมด้วยผู้เขียนและผู้ติดตาม  3  คนก็กราบนมัสการพระพุทธชินราช  ไปโดยสารรถไฟที่สถานีพิษณุโลกกลับสู่พระนครด้วยความสวัสดิภาพ

3 ปีต่อมาถึงเทศกาลวันเข้าพรรษาผู้เขียนได้นำดอกไม้ธูปเทียนไปถวายเข้าพรรษาสมเด็จพ่อเช่นเคย  เมื่อท่านได้ถามถึงทุกข์สุขและเรื่องอื่น ๆ แล้ว  ท่านปรารภกับผู้เขียนว่า

“ เวลานี้ฉันพร้อมด้วยอุบาสกอุบาสิกาและพ่อค้าประชาชนชาวชลบุรี  กำลังทำการซ่อมพระอุโบสถ  วัดเขาบาง-ทราย  ชลบุรี  เปลี่ยนแปลงจากเดิมขยายให้กว้างขวางงดงามยิ่งขึ้น  ประตูหน้าต่างเขียนลายรดน้ำลงรักปิดทองประดับกระจก  เขียนลายผนังติดดาวเพดาน  หลังคามุงกระเบื้องเคลือบ  ประกอบช่อฟ้าใบระกา  ยังติดขัดอยู่อย่างเดียวคือใบเสมาที่จะหาไปประดิษฐานรอบพระอุโบสถแทนของเดิม  ซึ่งมีขนาดค่อนข้างเล็ก  และเวลานี้ได้ชำรุดแตกหักหลายแผ่นไม่เหมาะสมกับพระอุโบสถซึ่งขยายให้กว้างขวางกว่าเดิม  สมควรจะหาใบเสมาไปเปลี่ยนเสียใหม่  เลยทำให้ฉันหวนระลึกถึงเมื่อคราวอุ่ณห์จิตต์นิมนต์ฉันไปชมโบราณสถานที่เมืองสุโขทัยเก่าขึ้นมาได้  คือระหว่างที่เดินชมวัดต่าง ๆ อยู่นั้น  ฉันเห็นใบเสมาที่ประดิษฐานอยู่ในบริเวณวัดต่าง ๆ หลายวัดหลุดล้มจากแท่นที่ประดิษฐานลงมากองอยู่ที่บนพื้นดินก็มี  จมลงไปในดินก็มี  โดยไม่มีใครสนใจปล่อยให้ตากแดดตากฝนอยู่อย่างนั้นจนกว่าจะหักพังจมดินจมทรายไปเอง  เป็นที่น่าเสียดายนักฉันพิจารณาเห็นว่า  ถ้าหากได้ใบเสมาเหล่านั้นไปประดิษฐานไว้ที่วัดเขาบางทรายแทนใบเสมาของเดิมแล้วจะเป็นดีไม่น้อย  ขอให้อุ่ณห์จิตต์ช่วยกันคิดเป็นการเอาบุญว่าจะมีทางใดบ้างที่จะได้ใบเสมาดังกล่าวนั้น”

ผู้เขียนได้กราบเรียนว่า  “เกล้ากระผมเห็นพ้องด้วย  ยินดีให้ความร่วมมือกับวัดเขาบางทรายตามที่สมเด็จพ่อปรารภ  เกล้ากระผมจะเดินทางไปพบผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย  ทาบทามเรื่องนี้ดูก่อน  ได้ความประการใดเกล้ากระผมจะมากราบเรียนให้ทราบ”

ต่อมาอีก  2  วันผู้เขียนได้เดินทางไปจังหวัดสุโขทัย  เข้าพบผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัยเรียนเล่าเรื่องใบเสมาที่สมเด็จพ่อปรารภให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทราบโดยละเอียด

ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัยตอบว่า  การที่ใบเสมาต้องหลุดล้มลงมาตากแดดตากฝนอยู่เช่นนั้นก็เพราะจังหวัดไม่มีเงินงบประมาณที่จะบูรณะซ่อมแซมนั่นเอง  เมื่อวัดเขาบางทรายจะขอเอาไปทำประโยชน์ที่วัดเขาบางทรายชลบุรี  จังหวัดก็ไม่ขัดข้อง  ยินดีถวายและอนุญาตให้ขนไปได้ตามจำนวนที่ต้องการ 

ผู้เขียนได้กล่าวขอบคุณในความเอื้อเฟื้อของผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัยและได้เรียนท่านว่า

“เพื่อความสะดวกรวดเร็วในนามของวัดเขาบางทรายชลบุรี  ผมจะขอเป็นตัวแทนเอาใบเสมาบรรทุกรถยนต์ไปถวายวัดเขาบางทรายชลบุรีเลยทีเดียว”  ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัยอนุมัติ

เช้าวันรุ่งขึ้นผู้เขียนได้นำรถยนต์ไปบรรทุกใบเสมาดังกล่าวที่เมืองสุโขทัยเก่าไปบรรทุกรถไฟที่สถานีสวรรคโลก  ส่งไปถวายวัดเขาบางทรายชลบุรีต่อไป  แล้วผู้เขียนก็เดินทางกลับกรุงเทพ ฯ  กราบเรียนผลการปฏิบัติให้สมเด็จพ่อทราบ  สมเด็จพ่ออนุโมทนาผู้เขียนแลบอกว่า

“ฉันจะจัดการประดิษฐานใบเสมาเหล่านั้นไว้รอบพระอุโบสถวัดเขาบางทรายชลบุรีต่อไป  ฉันหวังว่าเมื่ออุบาสกอุบาสิกา  พ่อค้าประชาชนชาวชลบุรีได้เห็นใบเสมาเหล่านั้นแล้ว  จะต้องถามว่าได้ใบเสมามาจากไหน  ใครเป็นผู้นำมาถวาย  เมื่อทราบแล้วคงจะพากันโมทนาและจำชื่ออุ่ณห์จิตต์ผู้นำมาถวายไปชั่วกาลนาน”

เมื่อวันที่  6  กันยายน  2487  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย  ได้มีคำสั่งย้ายผู้เขียนจากกรมที่ดินไปรับราชการตำแหน่งเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสุโขทัย  ผู้เขียนได้ไปกราบลาสมเด็จพ่อที่วัดเทพศิรินทราวาสแต่ไม่พบเพราะท่านไปพักผ่อนอยู่ที่วัดเขาบางทรายชลบุรี  ผู้เขียนจึงฝากบัตรลาไว้กับพระครูวรวงศ์  ( จรูญ )  ขอให้ท่านช่วยส่งไปถวายสมเด็จพ่อที่จังหวัดชลบุรีด้วย

เมื่อผู้เขียนเดินทางไปรับตำแหน่งเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสุโขทัยได้ประมาณ  2  สัปดาห์  ผู้เขียนได้รับจดหมายของสมเด็จพ่อส่งมาถึงผู้เขียนโดยทางไปรษณีย์  มีข้อความดังต่อไปนี้

วัดเขาบางทรายชลบุรี

                                                                                23  กันยายน  2487

                นายอุ่ณห์จิตต์  นพรัก  สัทธิวิหาริก

                                ฉันได้รับบัตรลาแล้ว  จงมัสติสัมปชัญญะให้มากซื่อสัตย์สุจริตเต็มที่ในหน้าที่ 

ตำแหน่งนี้รู้สึกว่าเหมาะมาก  อยู่ติดกับชาติภูมิของตน  ข้อสำคัญที่สุดคือใกล้กับคุณพ่อ

มีโอกาสได้บำเพ็ญปิตุปัฎฐานธรรมได้ดี  ขออวยพรให้มีอายุยืนนาน  เกษมสำราญห่าง

โรคาพาธ  แคล้วคลาดปราศจากภัยพิบัติอุปัทวันตรายทั้งปวงทั้งครอบครัว

                                                                                                สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์

                                                                                                                    พระอุปัชฌายะ

แม้ผู้เขียนต้องย้ายไปอยู่ห่างไกลสมเด็จพ่อแต่เมื่อถึงเทศกาลเข้าพรรษาผู้เขียนจักต้องนำดอกไม้ธูปเทียน  เครื่องสักการะไปถวายเข้าพรรษาสมเด็จพ่อทุกปี  ไม่เคยขาดเลยนับตั้งแต่ผู้เขียนลาสิกขา  ปี  2468  เป็นต้นมาจนถึงปีสมเด็จพ่อมรณภาพ

สมเด็จพ่อเป็นพระสงฆ์องค์เดียวที่ดำรงตำแหน่งในวงการคณะสงฆ์มากมายหลายตำแหน่งเป็นประวัติการณ์  คือ

1.  เป็นกรรมการราชบัณฑิตยสถาน

2.  เป็นผู้อำนวยการสอบพระปริยัติธรรมสนามหลวง

3.  เป็นเจ้าคณะมณฑลปราจีนบุรีและมณฑลจันทบุรี

4.  เป็นผู้ถวายพระธรรมเทศนาพระมงคลวิเสสกถาในงานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษารัชกาลที่  6-7-8และ 9

รวม  25  ศก

5. เป็นมหาสังฆนายกเจ้าคณะใหญ่หนเหนือ

6.  เป็นประธานกรรมการมหาเถรสมาคมบัญชาการคณะสงฆ์

7.  เป็นประธานสังฆนายก

8.  เป็นประธานคณะวินัยธร

9.  เป็นสังฆนายกจนถึงวันมรณภาพ

10.เป็นเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส  50  ปีเศษ

สมเด็จพ่อเป็นพระอุปัชฌาย์บวชภิกษุ  4,847  รูป  เป็นพระอุปสัมปทาจารย์  364  รูป  เป็นพระอุปัชฌาย์บวชสามเณร  1,455  รูป  รวมทั้งสิ้น  6,666  รูป  ( 6  สี่ตัวน่าอัศจรรย์ไหมท่าน )

วงการสงฆ์ของประเทศไทยต้องสูญเสียสมเด็จพ่อ  ซึ่งเป็นช้างเผือกของชาวชลบุรีและเป็นเพชรน้ำเอกของสังฆมณฑลไปเมื่อวันที่  8  มิถุนายน  2494  ด้วยโรคเนื้องอกที่ตับ  ยังความเศร้าโศกสลดรันทดใจแก่สังฆมณฑล  ศิษยานุศิษย์  และผู้ที่มีความเคารพนับถือท่านอย่างสุดจะพรรณนา  คำนวณอายุได้  80  ปี  พรรษา  59

ผู้เขียนได้จดจำวันมรณภาพของสมเด็จพ่อไว้ในความทรงจำอย่างไม่มีวันลืม  วันที่  8  มิถุนายน  ทุกปีผู้เขียนจักต้องบำเพ็ญกุศล  ทำบุญตักบาตร  กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลถวายท่านทุกปีไม่เคยขาดเลย

…….ข้าพเจ้าขอภาวนา ให้บรรดาผู้นำทั้งหลายจะเป็นผู้นำหมู่คณะหรือนำโลก ก็ดี จงได้มีคุณธรรมเหล่านี้เพื่อให้ทุกคนที่อยู่ในขอบข่ายที่อาจจะช่วยเหลือกันได้ ได้รับความเห็นอกเห็นใจ ด้วยเมตตาที่ประกอบด้วยธรรม อย่างเพียบพร้อมด้วยเถิด และถ้าเป็นไปได้ ขอให้ท่านเจ้าพระคุณสมเด็จนั่นแหละได้มาเกิด เป็นผู้นำในทางวิญญาณ  ในขณะที่โลกเต็มไปด้วยวิกฤติกาล อันโหดร้ายยิ่งขึ้นทุกทีนี้เทอญฯ

                                    .........................................................................

 

 
 
ตะกร้าพระเครื่อง

ดูตะกร้าพระเครื่อง
แจ้งการชำระเงิน
ตรวจสอบวันจัดส่ง
สถานะการส่งพระเครื่ง

พระเครื่องแนะนำ


เหรียญหันข้างพิมพ์ใหญ่ เนื้อทองคำ จัดสร้างเพียง 100 องค์เท่านั้นเองครับ


บาท


เหรียญหันข้างพิมพ์เล็ก เนื้อทองคำ จัดสร้างจำนวนน้อยมาก


บาท


เหรียญโภคทรัพย์ พิมพ์?เล็กเนื้อทองคำ สร้างเพียง 243 องค์เท่านั้น


บาท


หนุมาน 500 หลวงปูททิม พระสวยเดิม มีโค๊ต ตอก ตรงตามมาตราฐานสากล


บาท


รูปหล่อปั้มหลวงพ่อเงินฯบางคลานสร้างปี พ.ศ. 2515 สภาพสวยเดิม ๆ


บาท


เหรียญ ร.6 หลังรูปเหมือน พิมพ์เล็ก เนื้อทองคำ ราคา บาท พร้อมบัตรรับรองพระแท้


39000 บาท


พระกริ่งตากสินมหาราช ปี พระดีพิธียิ่งใหญ่ของค่ายอดิสร จังหวัดสระบุรี


15000 บาท


พระสมเด็จวัดระฆัง รุ่นอนุสรณ์ 100 ปี พิมพ์เส้นดายใหญ่ สภาพสวยเดิม ๆ


บาท


รูปเหมือนสมเด็จโต รุ่น100ปี วัดระฆังฯ เนื้อเงิน พิมพ์ 3 ชาย พร้อมบัตรรับรองพระแท้


บาท


เหรียญใบสาเกหลวงพ่อวัดบ้านแหลม เนื้อเงิน สวยเดิม พร้อมบัตรรับรองพระแท้


บาท

25-2-66
พระบูชารูปเหมือนสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์เจริญ


โชว์ บาท

25-2-66
พระรูปเหมือนใบธิ์ เนื้อนวโลหะ ปี 2512 แบบตอกโค๊ด


30000 บาท

25-2-66
พระนาคปรกใบขนุนเนื้อชินสังฆวานร พระสวยเดิม


9500 บาท

25-2-66
พระนาคปรกใบโพธิ์ 7 เศียร พิมพ์เล็กเนื้อนวโลหะ


AC บาท
บูชาแล้ว

25-2-66
เหรียญกนกข้างพิมพ์ใหญ่บล็อก ม.มีจุด (นิยม)


18500 บาท

25-2-66
พระไตรภาคีพิมพ์รูปเหมือนใหญ่เลี่ยมทองอย่างหนา


BD บาท
บูชาแล้ว

24/2/2566
พระปิดตา พิมพ์ตุ๊กตาใหญ่ เนื้อผงใบลาน ฝังตะกรุด


57000 บาท

24/2/2566
เหรียญเขียวในโลง หายาก เป็นเหรียญที่ใส่ไว้ในโลงท่านฯ


โทรถาม บาท

24/2/2566
พระสมเด็จ 3 ชั้นหลังยันต์นูน (เนื้อน้ำอ้อย)พิมพ์จัมโบ้


8000 บาท

21/02/66
เหรียญหลังเต่ารุ่นแรก บล็อกยันต์เคลื่อน


48000 บาท

6/10/65
เหรียญเขียวในโลง (เหรียญเอเชียนเกมส์) หายาก


โทรถาม บาท

6/10/65
พระผงหลวงพ่อพรหม รุ่นฉลองมณฑป พิมพ์ระฆังใหญ่


โทรถาม บาท

9/8/65
พระกริ่งสายฟ้า ตอกโค๊ต 1 ตัว


โทรถาม บาท

28/06/63
พระบูชารูปเหมือนท่านเจ้าคุณนรฯ รุ่นแรกหน้าตัก 5 นิ้ว


โทรถาม บาท

27/12/61
ออกใบรับรองพระแท้ ตอนนี้ท่านสามารถออกใบรับรองพระแท้ได้แล้วนะครับ ในนามร้านศักดิ์ ตลิ่งชัน


บาท

พระเครื่องแนะนำทั้งหมด