พระเครื่องทั้งหมด 3760 ชิ้น
ตะกร้าพระเครื่อง : ( 0 )
สารบัญหลัก
พระท่านเจ้าคุณนรฯ (1382) พระเครื่องอื่น ๆ (964) เครื่องรางของขลัง (10) พระบูชา (67)
บทความ
ประวัติสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
ประวัติท่านเจ้าคุณนรฯ
ประวัติสมเด็จพระวันรัต
ตำนานพระพุทธรูป
หลัการดูพระเบื้องต้น
เปิดโลกสมเด็จ
เปิดโลกพระกรุ
ทำเนียบสมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติการสร้างพระเครื่อง
อ่านบทความทั้งหมด
กระดานสนทนา
เว็บบอร์ดพระวัดเทพศิรินทราวาส เว็บบอร์ดพระทั่วไป ซื้อขายแลกเปลี่ยน
เมนูช่วยเหลือ
วิธีการบูชา วิธีการชำระเงิน คำถาม-ตอบ เกี่ยวกับเรา แผนที่ร้านฯ ติดต่อเรา นโยบายคุกกี้
อัตราแลกเปลี่ยน
ตรวจสอบการจัดส่งสินค้า
 
ชำระผ่านธนาคาร ธ.ไทยพาณิชย์ 114-2-16175-0 ธ.กรุงเทพ 905-0-00725-2 ธ.กรุงไทย 086-037-0-04433-9


หนังสือแจก 8 ม.ค.48


                         เรื่องที่ท่านจะได้อ่านดังต่อไปนี้ เกิดจากการรวมรวมข้อมูล   ของคณะบุคคลที่มีความศัรทธาในองค์ท่านเจ้าคุณนรฯ และได้ทำหนังสือมาแจกในงานวันครบรอบมรณะภาพของท่านเจ้าคุณนรฯ ในวันที่ 8 มกราคม 2548 ซึ่งทางเวปไซต์ saktaling.com ได้รับความอนุเคราะห์จากบุคคลเหล่านี้ให้นำเรื่องราวต่าง ๆ ที่ได้รวมรวมไว้นำมาเผื่อแพร่ แก่สาธารณะชนทั่วไป และพี่น้องเราในเวปไซต์แห่งนี้ ที่มีความสนใจ และศรัทธาในองค์ท่านเจ้าคุณนรฯ

                      ทางเว็บไซต์ saktaling.com ขอขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้.

                                                                                 ด้วยความเคารพ

 

                                                                                  ศักดิ์   ตลิ่งชัน

                                                                               23  มกราคม   2548

          """""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

                      สวัสดีปีใหม่ ๒๕๔๘

                      ขอมอบหนังสือเล่มนี้เป็นธรรมบรรณาการ

จาก

เมธี                ภัคดีโต

ชัย             กิจนนทชัย

สมชาย   ปรางค์นวรัตน์

ไพชยนต์   พิมพ์พัทเลิศ

คำนำ

          คงไม่ต้องบอกกล่าวกันถึงประวัติว่าท่านเจ้าคุณนรฯ หรือ “ ธมฺมวิตกฺโก ภิกขุ “ ว่าเป็นใคร หนังสือประวัติของท่านเจ้าคุณนรฯ นั้น ได้มีผู้เขียนขึ้นมามากมายหลายเล่มด้วยกัน  ต้นฉบับที่สำคัญที่ถูกคัดลอกมาลงในหนังสืออีกหลายต่อหลายเล่มก็มีของ ท.สิริปัญโญ ,เจ้าคุณอุดมฯ , พระมหาสงัด สุวิเวโก , มูลนิธิฯ ผู้ที่เขียนประวัติของท่านเจ้าคุณนรฯ นั้นก็มีหลายท่าน เช่น  อาจารย์ เสทื้อน ศุภโสภณ ,อาจารย์ ศิริ พุธศุกร์ ,คุณตริ  จินตยานนท์, คุณการุณย์  เหมวนิช, คุณยศ วัชระเสถียร ผลงานของท่านเหล่านี้ได้ถูกนำไปตีพิมพ์อีกหลายครั้ง ผมได้สะสมหนังสือและภาพถ่ายของท่านเจ้าคุณนรฯไว้เพื่อศึกษาประวัติของท่าน โดยเฉพาะหนังสือประวัติมีจำนวนถึงเกือบ 40 เล่มที่ไม่ซ้ำกัน มีอยู่เล่มหนึ่งที่น่าสนใจมาก ซึ่งเขียนโดย ท่านพระภิกษุถิระปุญโญ หรือ ดร.บุญยง ว่องวานิช  หนังสือเล่มนั้นชื่อ “ท่านเจ้าคุณนรฯ ในความทรงจำของข้าพเจ้า” มีเนื้อหาที่น่าสนใจอยู่หลายเรื่อง จึงได้นำมาลงในหนังสือเล่ม 2 เล่มนี้ไว้เพื่อพิมพ์แจกเนื่องในโอกาส งานทำบุญวันที่ 8 มกราคม 2548 ท่านที่ได้รับแจกหนังสือเล่มนี้คงพอจะทราบประวัติอันน่ามหัศจรรย์ และ ศีลาจาวัตรที่บริสุทธิ์งดงามของท่านเจ้าคุณนรฯ กันมาบ้างแล้ว แต่ถ้าใครที่ยังไม่เคยรู้และสนใจที่จะศึกษาประวัติโดยละเอียดของท่านเจ้าคุณนรฯ ผมก็ยินดีที่จะมอบให้เป็นธรรมบรรณาการ ถึงแม้รูปเล่มจะไม่สวยงาม แต่รับประกันว่าเนื้อหาละเอียดแน่น แต่สำหรับท่านใดที่อยากได้ หนังสือที่มีรูปเล่มสวยงามและเข้มข้นไปด้วยเนื้อหา ก็ขอเชิญไปทำบุญซื้อได้ที่มูลนิธิพระพระยานรรัตน์ฯ  ท่านจะได้หนังสือที่มีคุณค่าแถมยังได้ทำบุญอีกด้วยครับ

สมชาย  ปรางค์นวรัตน์
5 ธันวาคม 2547

สารบัญ

ปาฏิหาริย์ในพุทธศาสนา
การเข้าพบเจ้าคุณนรฯ
เหตุที่เลิกบิณฑบาต
“This Life is the last”

ทำเมืองให้เป็นป่า

ภัยของกามคุณ

การรดน้ำมนต์

สัมภาษณ์หมอไพบูลย์

การสนทนาธรรม

อดทนเป็นเลิศ
พระเครื่องท่านเจ้าคุณนรฯ

เรื่องอภินิหาร
 

""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

                                          ปาฏิหาริย์ในพุทธศาสนา

ท่านธมฺมวิตกฺโก ไม่ได้สอนให้พุทธศาสนิกชนเชื่อถืออิทธิปาฏิหาริย์ แต่บุคคลส่วนมากก็เชื่อว่าท่านมีอิทธิปาฏิหาริย์มิใช่น้อย เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าผู้เป็นพระบรมศาสดาของชาวพุทธทั้งหลาย พระองค์ไม่ทรงส่งเสริมให้สาวกแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ แต่พระองค์ก็ไม่ทรงปฏิเสธว่าการแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ตามโอกาสอันจำเป็นเป็นสิ่งไม่สมควรเสียเลยผู้ที่ศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างพินิจพิเคราะห์แล้ว จะเห็นได้ว่า พระศาสนานี้เผยแพร่อย่างกว้างขวางและยืนยงคงอยู่มาได้ ก็เพราะอิทธิปาฏิหาริย์ที่พระบรมศาสดาและสาวกของพระองค์แสดงตามโอกาส มีส่วนช่วยน้อมโน้มจิตใจของผู้ที่ยังไม่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาให้มาเลื่อมใส เพราะฉะนั้นท่านธมฺมวิตกฺโก จึงได้ไม่ฝ่าฝืนพระพุทธบัญญัติในการที่ท่านสวดอธิษฐานจิตให้พระเครื่องมีคุณค่าสูงยิ่งขึ้น เป็นการช่วยประชาชนให้ปลอดภัย บำรุงชาติให้พัฒนา และเผยแพร่พระศาสนา ตัวอย่างเช่น ประชาชนมีกำลังใจเข้มแข็ง ต่อสู้ภยันตรายในการดำเนินชีวิต และในการผจญอริราชศัตรู โรงเรียนขนาดใหญ่ได้อุบัติขึ้นมาช่วยเยาวชนเป็นอันมาก ให้พรั่งพร้อมไปด้วยวิชาภรณ์ อุโบสถสูงเด่นเป็นสง่า สัมฤทธิ์ขึ้นมาช่วยให้พระสงฆ์ทำสังฆกรรมโดยสะดวก และถาวรวัตถุอื่น ๆ อันอำนวยประโยชน์แก่สาธารณชน ก็กำลังสำเร็จเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งนี้เพราะบารมีและฤทธานุภาพแห่งท่านธมฺมวิตกฺโก แม้ในครั้งพุทธกาล พระพุทธเจ้าก็ทรงยกย่องพระมหาเถระที่ชื่อว่า พระโมคคัลลาน์ว่า เป็นผู้เลิศกว่าพระสงฆ์รูปอื่นในทางแสดงฤทธิ์ได้เป็นอัศจรรย์ เพราะท่านสามารถน้อมนำบุคคลในศาสนาอื่นจำนวนมากเข้ามาเป็นพุทธศาสนิกชน จนถึงขนาดเจ้าลัทธิอื่น ๆ เคียดแค้น ชิงชัง ริษยา ได้ว่าจ้างให้โจรไปดักปลงชีวิตท่านเสีย

เรื่องปาฏิหาริย์ ไม่ว่าจะเป็นการดักใจเป็นอัศจรรย์ การสั่งสอนเป็นอัศจรรย์ หรือการแสดงฤทธิ์เป็นอัศจรรย์ ล้วนได้รับการรับรองว่ามีจริง แต่การสั่งสอน (คำสั่งสอน) เป็นอัศจรรย์ถือว่าเป็นปาฏิหาริย์ที่ดีที่สุด พระพุทธศาสนานี้ ถึงจะไม่มีเรื่องปาฏิหาริย์เลย ก็สามารถเผยแพร่และมั่นคงอยู่ได้ เพราะเรื่องปาฏิหาริย์เป็นเพียงเปลือกนอกหรือกระพี้ของพระพุทธศาสนา คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามีเหตุผลที่ผู้รู้อาจตรองตามให้เห็นจริงได้ เป็นนิยยานิกธรรม นำผู้ปฏิบัติให้พ้นทุกข์ เป็นสุขได้ ผู้ฉลาดเมื่อปรารถนาแก่นไม้ ย่อมไม่เข้าใจผิดคิดว่าเปลือกนอกและกะพี้เป็นแก่น ย่อมผ่ากะเทาะเปลือกและกะพี้ออกจนถึงแก่น ฉันใด ผู้ปรารถนาพุทธธรรมแท้ก็เช่นเดียวกัน เมื่อมีพระปฏิมาคือรูปเปรียบของพระพุทธเจ้าแล้ว ไม่ควรติดอยู่แค่ความศักดิ์สิทธิ์ ต้องขวนขวายปฏิบัติธรรมบำเพ็ญความดีตามที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอน จึงจะพบสัจธรรมแท้ หรือเมื่อมีรูปเปรียบพระสงฆ์ ก็ให้นึกถึงคุณของพระสงฆ์ ปฏิบัติตามแนวทางของท่าน เว้นทุจริตทั้งหลาย จึงจะชื่อว่า มีพระเป็นที่พึ่งคุ้มครองป้องกันภัย แม้พวกเราจะเลื่อมใสในปาฏิหาริย์ของท่านธมฺมวิตกฺโก เราก็ไม่ควรปลื้มจนลืมจริยธรรมของท่าน และถึงแม้ว่าท่านจะไม่มีปาฏิหาริย์ ปรากฏเป็นอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ แต่ท่านก็คงเป็นอภิปูชนีย์ที่ควรเคารพนับถืออย่างแท้จริงสำหรับเราทั้งปวงอยู่นั่นเอง เพราะปฏิปทาของท่านย่อมสำคัญกว่าสิ่งอื่น

**************************************************

การเข้าพบท่านเจ้าคุณนรฯ
 
         พระอาจารย์ทองเจือ เล่าให้ผู้เขียนฟังว่าเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2512 ท่านได้ไปกราบนมัสการท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ เป็นครั้งแรกในพระอุโบสถวัดเทพศิรินทร์ฯ เพื่อจะขออนุญาตสร้างพระพร้อมทั้งขอคำแนะนำในการสร้าง พระอาจารย์ทองเจือเล่าให้ฟังว่า ครั้งแรกที่ท่านพบท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ รู้สึกเคารพนับถือขึ้นมาทันที เพราะเห็นผิวพรรณอันผ่องใส ใบหน้าอิ่มเอิบมีสง่าราศีผิดแผกกับพระอื่น ๆ ที่ท่านเคยพบมา ท่านจึงนึกในใจว่าท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ คงจะสำเร็จญาณขั้นสูงสมกับที่เขาเล่าลือกันแน่ แต่จะสำเร็จญาณขั้นใดไม่อาจจะรู้แน่ ท่านนึกในใจต่อไปว่า ทำอย่างไรจึงจะทราบได้ว่า ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ สำเร็จญาณขั้นใด พออาจารย์ทองเจือนึกในใจเสร็จ ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ก็หันมามองหน้าแล้วพูดออกมาดัง ๆ ว่า  “อันกระแสจิตวิทยุหรือโทรทัศน์นั้น ผมได้ค้นพบมานานแล้ว และก็ได้สำเร็จมาหลายปีแล้ว” เมื่ออาจารย์ทองเจือได้ยินท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ พูดออกมาเช่นนั้นก็รู้สึกขนลุกซ่า มีความมหัศจรรย์ในใจอย่างยิ่ง จึงคิดว่าท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ คงรู้วาระจิตแน่ ๆ เพื่อความแน่ใจท่านจึงนึกถามในใจต่อไปอีกว่า

“ได้ทราบข่าวว่าท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ไม่เคยออกจากวัดไปไหน แต่ท่านไปเรียนรู้พิธีการกระทำพุทธาภิเษกสร้างพระมาจากไหนฯ”

พออาจารย์ทองเจือนึกถามเสร็จ ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ก็พูดออกมาดัง ๆ อีกว่า

“อันการกระทำพิธีพุทธาภิเษกสร้างพระนั้น ผมได้ศึกษาและดูมาจากวัดสุทัศน์ ในสมัยสมเด็จพระสังฆราชแพท่านยังมีชีวิตอยู่”

พออาจารย์ทองเจือได้ยินท่านพูดออกมาเช่นนี้ ก็รู้แก่ใจว่าท่านสามารถรู้วาระจิต อ่านจิตออกแน่แล้ว และก็คิดว่าการที่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ บอกว่าเคยไปดูการทำพิธีสร้างพระของสมเด็จพระสังฆราชแพ ก็คิดว่าท่านคงจะไปโดยอำนาจญาณถอดการทิพย์เป็นแน่ เหมือนดังเช่นครั้งสมเด็จพระสังฆราชแพกระทำพิธีพุทธาภิเษกพระกริ่งก็นิมนต์เจ้าคุณเฒ่าวัดหนัง (พระภาวนาโกศลเถระเอี่ยม) มาด้วยทุกครั้ง เมื่อท่านเจ้าคุณเฒ่ารับปากว่าจะมา สมเด็จพระสังฆราชแพก็สั่งเตรียมอาสนะไว้ให้เพราะท่านตรัสว่า เมื่อเขารับปากว่าจะมาเขาก็ต้องมา ซึ่งหมายถึงท่านเจ้าคุณเฒ่าต้องไปร่วมพิธีพุทธาภิเษกด้วยทุกครั้ง และสมเด็จพระสังฆราชแพก็รู้ว่าท่านมา แต่บุคคลอื่นอาจไม่มีใครทราบ คงเห็นแต่อาสนะว่าง ฉะนั้นการไปดูของท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ จึงอาจมีลักษณะเช่นเดียวกัน (ผู้เขียน)

เมื่ออาจารย์ทองเจือรู้แน่ว่าท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ สามารถรู้วาระจิตก็นึกถามปัญหาที่ท่านใคร่รู้ต่อไปในใจอีกว่า

“เห็นเขาลือกันว่า พระที่ท่านปลุกเสกนั้นมีความศักดิ์สิทธิ์นัก และมีผู้ประจักษ์ในปาฏิหาริย์กันมาก ไม่ทราบว่าท่านปลุกเสกด้วยคาถาอะไร”

ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ หันมามอง แล้วพูดออกมาดัง ๆ ได้ยินกันทั่ว ๆ ไปอีกว่า

“อันการปลุกเสกพระนั้น พระชินบัญชร คาถาของท่านสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) วัดระฆัง ดีที่สุด ผมเองก็ใช้คาถาชินบัญชรในการปลุกเสกพระทุกครั้ง”

เมื่อได้ฟังเช่นนั้นแล้ว อาจารย์ทองเจือนึกในใจต่อไปอีกว่า

“อยากจะเรียนถามถึงการสร้างพระเพื่อนำมาให้ท่านปลุกเสกนี้ว่าจะมีพิธีอย่างไร”

เมื่อนึกในใจเสร็จ เจ้าคุณนรรัตนฯ ก็บอกกล่าวถึงวิธีการตระเตรียมพิธีการต่าง ๆ และนอกจากนี้ยังบอกให้ปูอาสนะ เตรียมไว้สำหรับท่านด้วย โดยที่ท่านจะมาปลุกเสกให้โดยญาณ         อาจารย์ทองเจือนึกในใจต่อไปอีกว่า

“ผมเองก็อยากจะคุยกับท่านนาน ๆ แต่รถยนต์ที่นั่งมาก็ขอยืมเขามา จะปล่อยให้คนรถคอยนานก็รู้สึกเกรงใจ วันหลังจะต้องหาโอกาสมาคุยกับท่านใหม่”

เมื่อนึกในใจดังนี้แล้ว ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ก็พูดออกมาดัง ๆ ว่า

“ไอ้ราชยานยนต์นี่มันยุ่งจริงนะ ตัว ย. ยักษ์ นี่มันยุ่งจริง ๆ ผมเองแต่ก่อนนี้เคยมีแต่ได้ให้เขาไปนานแล้ว”

อาจารย์ทองเจือได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า ท่านได้เรียนถามท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ โดยการนึกในใจอีกหลายคำถาม ซึ่งท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ก็สามารถล่วงรู้ทุกครั้ง และตอบได้ตรงกับคำถามที่ท่านนึกไว้ และในการถามการตอบดังกล่าวนั้นก็มีผู้อื่นร่วมอยู่ด้วยหลายท่านแต่ก็ไม่มีผู้ใดทราบว่าท่านได้คุยกับท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ เพราะท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ท่านก็พูดของท่านไปเรื่อย ๆ เหมือนการพูดคุยกับบุคคลอื่น ๆ อย่างธรรมดา แต่ทุกครั้งที่ท่านนึกถามในใจขึ้นมา ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ก็พูดออกมาเป็นคำตอบตรงกับคำถามที่ท่านถามไปทุกที ท่านจึงเชื่อแน่ว่าท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ เป็นพระภิกษุที่บรรลุธรรมขั้นสูง จนถึงขั้นสามารถรู้วาระจิตได้แน่ ๆ

**************************************************

เหตุที่เลิกบิณฑบาต
 
          เมื่อท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิตได้อุปสมบทเป็น ธมฺมวิตกฺโก ภิกขุแล้ว ท่านได้ประพฤติธรรมโดยเคร่งครัด มีศีลอันบริสุทธิ์ ไม่เคยล่วงศีลข้อใดเลย ท่านไม่ยอมแม้แต่จะมีเด็กไว้รับใช้ ด้วยเกรงว่าจะขาดประเคนอันเป็นการล่วงศีล และไม่ต้องการจะเบียดเบียนใครแม้แต่กำลังกายของเขาในเมื่อท่านสามารถทำเองได้ ท่านได้ออกบิณฑบาตเช่นเดียวกับภิกษุทั้งหลาย และใช้เวลานี้ไปเยี่ยมบ้าน เยี่ยมโยม เมื่อกลับมาก็จะเอาอาหารบิณฑบาตถวายสมเด็จอุปัชฌาย์เป็นประจำทุกวันไม่เคยขาด นอกจากนี้แล้วท่านไม่เคยออกไปไหน ต่อมาภายหลัง เมื่อท่านปฏิบัติธรรมเคร่งครัดมากขึ้นท่านไม่ออกจากวัดอีกเลย ส่วนเรื่องการบิณฑบาตนั้นภายหลังท่านได้งดออกบิณฑบาตนอกวัด โดยครั้งแรกท่านเบื่อหน่ายที่มีผู้ศรัทธามาดักคอยถวายบิณฑบาตแก่ท่าน เป็นการไม่ถูกต้องกับความประสงค์ของท่านที่ต้องการจะได้อาหารบิณฑบาตตามแต่จะได้เช่นภิกษุอื่น ต่อมาภายหลังท่านได้ตัดสินใจไม่ออกบิณฑบาตอีกเลย เพราะเกิดความสลดใจ ท่านได้กรุณาเล่าให้ฟังว่า วันหนึ่งท่านได้ออกบิณฑบาตตามปกติ ขณะที่จะเดินเข้ารับภัตตาหารจากที่มีผู้ถวายประจำนั้น ได้มีพระภิกษุอื่นเดินตัดหน้าท่านไปรับภัตตาหารนั้นก่อน ท่านจึงหยุดรอ เมื่อพระภิกษุรูปนั้นรับภัตตาหารแล้วท่านได้ยินเพื่อนของคนใส่บาตรที่ยืนอยู่ข้าง ๆ พูดว่า “หมายังไม่แย่งกันอย่างนี้ ทำไมพระจึงแย่งกัน” ด้วยคำพูดที่ท่านได้ยินท่านจึงเกิดความสลดใจ และเห็นว่าท่านเองถ้าไม่ออกบิณฑบาตก็ยังมีทางได้รับอาหารจากทางบ้าน แต่พระภิกษุอื่นอาจจะไม่มีทางจะได้อาหารจากที่อื่นนอกจากอาหารบิณฑบาต และอาจจะมีความจำเป็น เช่นมีลูกศิษย์มาก ถ้าท่านงดบิณฑบาตก็จะมีอาหารเพิ่มสำหรับพระภิกษุอื่นอีกหนึ่งองค์ นอกจากนี้ท่านได้บิณฑบาตมาถวายสมเด็จอุปัชฌาย์อยู่หลายปีแล้ว แม้จะงดถวายก็ไม่กระทบกระเทือนต่อสมเด็จอุปัชฌาย์ ท่านจึงงดออกบิณฑบาต และให้ทางบ้านท่านส่งอาหารมาถวายแทนโดยใช้เงินของท่านที่ได้รับทุกเดือนทำอาหารมาถวายท่าน และท่านใช้บาตรรับอาหารที่กุฏิแทน ต่อมาท่านได้เริ่มฉันอาหารมื้อเดียวคือตอนเพล ส่วนอาหารนั้นเป็นอาหารประเภทผักทั้งสิ้น ไม่มีอาหารประเภทเนื้อ ฉะนั้นอาหารของท่านจึงมีเพียง ข้าว ถั่ว และงา ท่านบอกว่าบางครั้งท่านก็ฉันใบตอง โดยให้ตำมาให้ก่อนพอจะเคี้ยวได้ ส่วนอาหารประจำของท่านคือมะนาว ที่ท่านฉันอาหารอย่างนี้ท่านบอกว่าจะได้สะดวกแก่คนทำถวายไม่ต้องไปหามาลำบาก เพราะเป็นสิ่งที่หาง่ายไม่สิ้นเปลืองมาก เมื่อท่านฉันอาหารมื้อเดียวท่านเล่าว่า บางวันก็ไม่ได้ฉัน เพราะหลานท่านเอามาถวาย บางวันด้วยความเป็นเด็กไปเล่นกับเพื่อนเพลินจนลืมท่าน เอาอาหารมาถวายตอนบ่าย ท่านบอกว่ามาเคาะประตูเรียกท่านว่า “หลวงลุงครับ” ท่านเปิดประตูออกมาถามว่ามาทำไม หลานท่านบอกว่าเอาอาหารมาถวาย ท่านก็ตอบว่า “เอามาทำไมตอนนี้ เอากลับไป” ถ้ามีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเป็นอันว่าวันนั้นท่านไม่ได้ฉันอาหาร

**************************************************

“This Life is the last”

           มีพระภิกษุบวชใหม่รูปหนึ่ง เมื่อบวชแล้วก็ตั้งใจขวนขวายศึกษาธรรม และพยายามจะปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ท่านธมฺมวิตกฺโกเห็นอุปนิสัยเช่นนั้น จึงได้ชักชวนให้พระภิกษุรูปนั้นบวชต่อไป การชักชวนของท่านธมฺมวิตกฺโกนี้เป็นการชักชวนอย่างจริงจัง พร้อมทั้งแนะแนวปฏิบัติให้อีกด้วย แต่พระภิกษุรูปนั้นก็ยังไม่รับคำ จนกระทั่งออกพรรษา ท่านธมฺมวิตกฺโกได้บอกกับพระภิกษุรูปนั้นว่า “คุณมีอุปนิสัยเพราะคุณเรียนธรรมได้ง่าย นี่แสดงว่าคุณบวชแล้วหลายชาติ และคุณก็สึกทุกที ชาตินี้คุณไม่สึกไม่ได้หรือ” พระภิกษุรูปนั้นได้ตอบว่า “ผมยังมีวิจิกิจฉา ยังสงสัยทุกเรื่อง ยังไม่มั่นใจว่า อะไรคืออะไรเป็นที่แน่นอน คิดเอาเองว่าจะสิ้นสงสัยได้ต้องอธิษฐานขอเป็นพระพุทธเจ้าเอง เพราะเท่าที่ทราบมาพระอรหันต์ระลึกชาติเพียงกัปป์เดียวคงไม่สิ้นสงสัย” ท่านธมฺมวิตกฺโกบอกว่า “คุณคิดเหมือนคุณเสถียร โพธินันทะ คุณเสถียรบอกกับอาตมาว่าอยากเป็นพระพุทธเจ้า อาตมาเห็นเป็นเรื่องเหลวไหว เกิดมาพบพระพุทธเจ้าแล้ว ได้เรียนธรรมของท่านแล้ว จะอยากไปเป็นพระพุทธเจ้าอีก ต้องทรมานต่อไปอีกด้วยเหตุผลอะไรกัน แล้วที่คุณว่าเป็นพระอรหันต์ไม่สิ้นสงสัยนั้น คุณทราบแล้วหรือว่าพระอรหันต์เป็นอย่างไร เป็นเรื่องรู้ก่อนเกิด เหลวไหล” แล้วท่านธมฺมวิตกฺโกได้กล่าวต่อไปว่า “สำหรับอาตมานั้นต้องการให้ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย อาตมาไม่อยากจะเกิดอีก อาตมามั่นใจว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย” แล้วท่านก็พูดเป็นภาษาอังกฤษว่า “This Life is the last” ผมก็ไม่ทราบว่าความหวังของท่านบรรลุผลหรือไม่ และท่านเป็นพระอรหันต์จริงหรือไม่ ใครเล่าจะมีคุณธรรมพอจะไปหยั่งรู้ได้ เพราะผู้นั้นจะต้องเป็นพระอรหันต์เช่นกัน และที่ท่านธมฺมวิตกฺโกบอกว่า ต้องการให้เป็นชาติสุดท้ายนั้น ก็มีความหมายได้สองนัย กล่าวคือเป็นชาติสุดท้ายจริง ๆ เพราะต้องนิพพานแน่ หรืออีกนัยหนึ่งเป็นชาติสุดท้ายของการเกิดเป็นมนุษย์ แล้วไปบังเกิดในภพอื่น ไปนิพพานในภพอื่น ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงการเดาเท่านั้น ถ้าพวกเราคือผู้อ่านและผมผู้เขียนเข้าใจว่าท่านเป็นพระอริยบุคคลจริง ๆ จะเป็นพระอริยบุคคลชั้นใดก็ตาม เราท่านทั้งหลายก็ไม่อาจจะหยั่งถึงความเป็นไปหรือความคิดของพระอริยบุคคลได้ คงได้แต่ตั้งจิตอธิษฐาน ขอให้ท่านได้สมปรารถนาในเจตนาของท่านอย่างบริบูรณ์

**************************************************

                                                 ทำเมืองให้เป็นป่า

          “พระเดชพระคุณครับ พระอริยบุคคลในปัจจุบันนี้ยังพอมีอยู่บ้างไหม ?” นายแพทย์สุพจน์ ศิริรัตน์เอ่ยถามท่านขึ้นมาในตอนค่ำวันหนึ่งในพระอุโบสถหลังจากท่านทำวัตรเช้าเย็นตามปกติแล้ว

“มี แต่ท่านไม่ค่อยเข้ามาอยู่ในเมือง” ท่านตอบ “ชอบอยู่ตามป่าตามเขากัน เพราะท่านเหล่านั้นไม่ชอบความวุ่นวาย”

จากคำตอบของท่านดังกล่าวเป็นการยืนยันว่าแม้ในยุคปัจจุบันที่โลกของเราเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวายร้อยแปดพันประการ พระอรหันต์ พระอนาคามี พระสกิทาคามี พระโสดาบัน ซึ่งทางพระพุทธศาสนาถือว่าเป็นพระอริยบุคคลบรรลุธรรมชั้นสูงแล้ว ก็ยังมีอยู่คู่พระศาสนา ซึ่งการได้เป็นดังนี้ตลอดมาทุกยุคทุกสมัย สมดังที่สมเด็จพระบรมศาสดาเคยตรัสไว้ว่า

“บุคคลใดปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์แปดอยู่โดยชอบแล้ว โลกนี้ไม่ว่างจากพระอรหันต์” แต่ท่านเหล่านั้นจะบำเพ็จเพียรจนสามารถบรรลุธรรมขั้นสูงดังกล่าวได้เกือบทั้งหมดจะต้องทิ้งบ้านทิ้งเมือง หนีจากชุมนุมชนอันเต็มไปด้วยความวุ่นวายเข้าอาศัยป่าอันเป็นที่สงบวิเวก เพื่อการบำเพ็ญหรือปฏิบัติธรรมทั้งสิ้น

ปัญหาที่น่าคิดจึงเกิดขึ้นว่า สำหรับท่านธมฺมวิตกฺโกหรือท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ นั้น ทั้ง ๆ ที่ท่านพำนักอยู่ ณ วัดเทพศิรินทราวาสใจกลางกรุง อยู่ใกล้กับโรงภาพยนตร์ใหญ่หลายโรง แวดล้อมไปด้วยความอึกทึกวุ่นวายนานับปการ แต่ทำไมท่านจึงสามารถบำเพ็ญจนสำเร็จธรรมขั้นสูงได้

คำตอบที่ได้มาก็คือ ท่านทำ “เมือง” ให้เป็น “ป่า” สำหรับตัวท่านนั่นเอง

โดยการ “ตัดโลก” แยกตัวท่านออกมาจากสังคม ไม่ยอมยุ่งเกี่ยวกับสังคมภายนอกเด็ดขาด ถึงขนาดโยมบิดามารดาถึงแก่กรรรมก็ยังไม่ไปเผา ได้แต่สั่งการให้น้องรับไปดำเนินการ ทั้ง ๆ ที่ท่านเป็นผู้ที่มีความเคารพและกตัญญูในผู้มีพระคุณอย่างยอดยิ่ง ท่านไม่ยอมออกจากวัดไปไหนเลยเป็นเวลานานติดต่อกันร่วม 40 ปีเต็ม ๆ ท่านไม่เคยไปที่กุฏิใครและโดยปกติก็ไม่เคยให้ใครเข้าไปในกุฏิท่าน หากจจะออกจากกุฏิก็ตรงมาโบสถ์เลยทีเดียวเพื่อทำวัตรเช้าเย็นวันละสองเวลาเท่านั้น เสร็จธุระแล้วก็กลับกุฏิ แม้ในสมัยที่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวรเถระ) อุปัชฌาย์ยังมีชีวิตอยู่ ท่านก็ไม่เคยไปที่กุฏิสมเด็จเลย สมเด็จฯ จะพบท่านได้ก็เฉพาะแต่ที่พระอุโบสถเท่านั้น เช่นเดียวกับบุคคลอื่น ๆ ท่านอยู่ของท่านแต่ลำพังโดยโดดเดี่ยวเอกา ไฟฟ้าเครื่องให้แสงสว่างและอุปกรณ์ของใช้ต่าง ๆ อย่างที่เขานิยมใช้กันอยู่ทั่ว ๆ ไปนั้น ท่านก็ไม่มีใช้กับเขาเลย แปลว่าท่านอยู่ของท่านอย่างเหมือนกับอยู่ในป่าดงตามลำพังจริง ๆ ใครมีธุระไปพบท่านก็ไปพบได้แต่เวลาตอนที่ท่านลงโบสถ์ ภายในโบสถ์เท่านั้น ไม่ว่าคนสามัญหรือเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ท่านเคยกล่าวว่า

“คนทั้งหลายที่มาพบนี่ เมื่ออาตมากลับกุฏิแล้ว อาตมาทิ้งหมด ไม่ได้นึกถึงเลย ผีทั้งนั้น”

โดยปฏิปทาของท่านดังนี้เอง จึงทำให้ท่านสามารถบำเพ็ญเพียรจนบรรลุธรรมขั้นสูงได้

ในระยะแรก ๆ นั้น ท่านเกือบจะไม่รับแขกเลย ทั้งนี้สัญนิษฐานว่าท่านกำลังเพ่งเพียรศึกษาและปฏิบัติธรรมอยู่อย่างขะมักเขม้น จึงไม่ยอมรับแขกมาก แม้เฉพาะแต่ในพระอุโบสถดังได้กล่าวมาแล้วก็ตาม ต่อมาในระยะหลัง ๆ ก่อนท่านสิ้นไม่กี่ปี จึงได้ยอมให้แขกเข้าพบได้มากขึ้น ทั้งนี้อาจเป็นด้วยท่านได้ความรู้มาก ผ่านประสบการณ์มาก สำเร็จธรรมขั้นสูง มีความมั่นใจได้แล้ว จึงได้ให้โอกาสเพื่อโปรดสัตว์โลกบ้างตามสมควร

ภัยของกามคุณ

          ครั้งหนึ่งในสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ในเพศสมณวิสัย ในคราวครั้งนั้นได้มีอุบาสิกาท่านหนึ่ง เล่ากันว่าอุบาสิกาท่านนี้เป็นบุคคลที่รู้จักคุ้นเคยกับเจ้าคุณนรฯ ในสมัยเมื่อท่านยังเป็นฆราวาส แล้ววันหนึ่งอุบาสิกาท่านนั้นได้มานมัสการเจ้าคุณนรฯ แล้วก็ได้เล่าให้ท่านฟังว่า ตนได้ไปเรียนวิปัสสนากรรมฐานมา แต่ยังไม่เข้าใจอะไรดี ขอให้ท่านเจ้าคุณได้เมตตาชี้แจงให้ฟังด้วย เจ้าคุณนรฯ หรือท่าน “ธมฺมวิตกฺโก ภิกขุ” ผู้มีจิตเปิดเผย ก็ได้ตอบชี้แจงความข้องใจของอุบาสิกาท่านนั้นไปสั้น ๆ ว่า

“อุปสรรคสำคัญอันดับหนึ่งของการเจริญวิปัสสนากรรมฐานนั้น ก็คือความพอใจในกามคุณนั้นเอง ตราบใดที่ความพอใจในกามคุณยังมีอยู่แล้ว ความหวังในการเจริญวิปัสสนาให้เกิดปัญญานั้นก็ยากที่จะเป็นไปได้ ให้ระวังภัยกามคุณนี้ให้มาก”

อุบาสิกาท่านนั้นได้ฟังแล้ว แทนที่จะมองเห็นอุปสรรคในการเจริญวิปัสสนาของตน นำเอาความรู้ที่ท่านเจ้าคุณเมตตาชี้บอกตามตรงนั้นไปแก้ไขปัญหาในการเจริญวิปัสสนานั้น แต่ก็กลับโกรธด้วยคิดว่า ท่านเจ้าคุณตำหนิที่ตนเป็นผู้มีอายุแล้วยังทำตัวกระตุ้งกระติ้ง แต่งหน้าทาปากแต่งเล็บเหมือนเด็กสาว ๆ จึงได้กราบลาท่านเจ้าคุณไปด้วยความน้อยใจ เมื่ออุบาสิกาท่านนั้นกลับไปแล้ว ด้วยความห่วงใยอุบาสิกาท่านนั้น ท่าน “ธมฺมวิตกฺโก ภิกขุ” จึงได้กล่าวกับศิษย์ใกล้ชิดที่ยังนั่งอยู่กับท่านว่า

“อุบาสิกาเข้าใจผิด เขาคงโกรธอาตมา ที่พูดไปนั้นก็มิได้ตั้งใจที่จะให้เขาเสียใจอะไรหรอก แต่กามคุณนี้มันมีอำนาจจริง ๆ ขอให้ระวังมันไว้ให้ดีเท่านั้นเอง”

นับว่าเป็นที่น่าประหลาดใจ หลังจากการทักท้วงของท่านเจ้าคุณไปไม่นานนัก ก็มีข่าวมาว่า อุบาสิกาท่านนั้น ถูกกามคุณเล่นงานเข้าให้แล้วจริง ๆ โดยถูกผู้ชายรุ่นลูกรุ่นหลานของตนปอกลอกเอาไปด้วยกลกามที่ตนหลงใหลไปจนหมดเนื้อประดาตัว

จากอุบัติการณ์ที่เกิดขึ้นแก่อุบาสิกาท่านนั้น อย่างที่ใคร ๆ ไม่คาดฝันว่า มันจักเป็นไปตามคำของท่าน “ธมฺมวิตกฺโก ภิกขุ” ได้กล่าวเตือนสติไว้ล่วงหน้านี้ จึงได้มีการเล่าลือกันไปว่า อุบาสิกาท่านนั้นด่วนใจร้อนไปหน่อย เข้าใจผิดคำเตือนของผู้หวังดี จึงได้เสียทีเด็กหนุ่มหมดเนื้อประดาตัวไปด้วยประการฉะนี้

**************************************************

                                                   การรดน้ำมนต์

          การรดน้ำมนต์ของท่านธมฺมวิตกฺโก เท่าที่เคยทราบมา ปรากฏว่าไม่เหมือนใคร ไม่มีใครเหมือน ไม่เคยได้ยินได้ฟังว่าเคยมีพระอาจารย์องค์ใดปฏิบัติดังที่ท่านเคยได้กระทำมา   ปรกติการรดน้ำมนต์โดยทั่ว ๆ ไปนั้น จะต้องมีการตักน้ำใส่บาตร ใส่ขันใหญ่หรือบางแห่งก็ใช้ถัง เอาไปตั้งหน้าพระอาจารย์ มีการจุดเทียนบริกรรมหยดน้ำตาเทียนลงไปในน้ำด้วย พอเสร็จจะมีการรด ผู้ที่จะรดต้องผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า เช่นผู้ชายก็นิยมนุ่งผ้าขาวม้า ผู้หญิงนุ่งผ้ากระโจมอก ออกไปนั่งพ้นชายคา ให้พระอาจารย์ท่านรดน้ำมนต์ให้จนเปียกโชกไปหมด จึงจะเรียกกันว่ารดน้ำมนต์    แต่วิธีการรดน้ำมนต์ของท่านธมฺมวิตกฺโกไม่ซ้ำแบบใครโดยผู้ที่ประสงค์จะให้ท่านรดน้ำมนต์ ต้องเอาแก้วหรือปรกติเคยมีถ้วยพลาสติกใบหนึ่งประจำอยู่ที่ตุ่มน้ำมนต์ ไปตักน้ำมนต์จากตุ่มลายมังกรที่ตั้งอยู่หน้ารูปหล่อของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านซ้ายของพระประธานในพระอุโบสถแล้วเอามาประเคนถวายท่าน ท่านจะบริกรรมเสกด้วยพระคาถาต่อไปนี้ 1 จบ

“สิทฺธมตถุ สิทฺธมตถุ สิทฺธมตถุ อทํ พลํ เอตสฺมึ รตนตฺตยสฺ สมฺปสาทนเจตโส”

เสร็จแล้ว ท่านจะเรียกให้เข้าไปนั่งคุกเข่าพนมมือ อ้าปากอยู่ตรงหน้าท่าน จากนั้นท่านก็จะเทน้ำมนต์กรอกใส่ปากเลย ซึ่งปรากฏว่าท่านกรอกได้แม่นยำมาก ไม่เคยมีน้ำมนต์หกเรี่ยราด พลาดจากปากใครได้เลย  หากมีคนเข้าไปขอรดน้ำมนต์จากท่านเป็นหมู่ จำนวนหลายคนด้วยกันแล้ว ท่านจะเรียกผู้ที่มีอาวุโสสูงสุดเข้าไปรดก่อน แล้วคนอื่นจึงค่อยตามกันเข้าไปเป็นลำดับ เมื่อน้ำมนต์หมด ก็ไปตักแก้วใหม่ มาถวายให้ท่านเสกใหม่ ใช้รดคนต่อ ๆ ไปจนหมด

          พ.อ. จิตต์ ธนะโชติ อดีตรองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีระหว่างที่ป่วยด้วยโรคมะเร็ง ได้เคยเข้าไปขอให้ท่านช่วยรดน้ำมนต์ให้ เมื่อปลายปี 2513 รวม 4 ครั้ง ได้บรรยายถึงการเข้ารับน้ำมนต์จากท่านครั้งแรกไว้ดังนี้

“…..คล้าย ๆ กับว่าท่านเจ้าคุณนรฯ จะรู้ใจข้าพเจ้าจึงหยิบแก้วน้ำเปล่าใบหนึ่ง สั่งให้ไปตักน้ำมนต์ในโอ่งลายมังกร ที่ตั้งอยู่หน้ารูปหล่อเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ญาณวรเถระ ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านซ้ายของพระประธานในโบสถ์ แล้วก็นำแก้วน้ำมนต์มาถวายท่านเจ้าคุณนรฯ ท่านรับแล้วก็ตั้งบริกรรมสักครู่นานเท่าใด ข้าพเจ้าก็ลืมไปเสียแล้ว จำได้แต่ว่านั่งพนมมือหลับตาภาวนาตามไปกับท่าน โดยขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย คุณบิดามารดา ปู่ย่าตายายและทวด ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายพร้อมกับขอให้บารมีของท่านเจ้าคุณนรฯ ช่วยคุ้มครองรักษาด้วย เมื่อท่านเรียกก็ลืมตาขึ้น แล้วก็คลานเข้าไปหา ท่านสั่งให้นั่งตัวตรง อ้าปากเงยหน้าขึ้นดูเพดานโบสถ์ ท่านก็กรอกน้ำมนต์ในแก้วด้วยมือของท่านเอง โดยไม่ให้ข้าพเจ้าจับแก้วน้ำมนต์นั้นเลย”

ท่านเคยบอกกับบางคนว่า การรดน้ำมนต์ของท่านด้วยวิธีการเช่นนี้เป็น วิธีการของพรหม

แต่จะเป็นวิธีของพรหมอย่างไร ด้วยเหตุใด ท่านมิได้อธิบายต่อ คงรับทราบจากท่านแต่เพียงเท่านั้น

ผู้ที่เคยขอรดน้ำมนต์ครั้งแรก ๆ จากท่านนั้น มักได้รับคำแนะนำวิธีการปฏิบัติดังกล่าวนี้ จากท่านพระครูปัญญาภรณ์โสภณ (พระมหาอำพัน บุญหลง) ช่วยชี้ทางให้

นอกจากนี้การเข้ารับการรดน้ำมนต์จากท่านโดยตรง ด้วยวิธีการดังกล่าว ซึ่งน้อยคนจะมีโอกาสได้รับแล้ว ยังมีการรดน้ำมนต์อีกวิธีหนึ่ง ซึ่งทุกคนสามารถปฏิบัติได้ด้วยวิธีง่าย ๆ ซึ่งท่านบอกว่ามีผลเท่ากับรดน้ำมนต์ให้เองเหมือนกัน

วิธีที่ว่านี้ก็คือ เมื่อเวลามีฝนตกพรำ ๆ ผู้ที่ประสงค์จะรับการรดน้ำมนต์ ให้ออกไปเดินกรำฝน แล้วบริกรรมภาวนา ด้วยพระคาถาสั้น ๆ แบบหัวใจคาถาโบราณทั้งหลาย จากนามฉายาของท่านที่ว่า

“ธมฺมวิตกฺโก ๆ ๆ ๆ”

ให้บริกรรมเช่นนี้เรื่อยไป ก็จะมีผลเท่ากับท่านรดน้ำมนต์ให้เหมือนกัน

ท่านได้ให้อรรถาธิบายว่า “ธมฺมวิตกฺโก” นั้น แปลว่า ผู้ตรึกธรรม หรือผู้พิจารณาธรรม ผู้คิดถึงธรรม ธรรมะย่อมคุ้มครองผู้นั้น

**************************************************

สัมภาษณ์นายแพทย์ไพบูลย์  บุษปธำรง
  
          ท่านพระคุณปัญญาภรณ์โศภณและผมได้บวชอยู่ที่วัดเทพศิรินทราวาส เมื่อ พ.ศ. 2512 เป็นพระนวกะภิกษุ และผมเคารพท่านพระภิกษุพระยานรรัตนฯ เมื่อทราบถึงประวัติการปฏิบัติธรรมของท่านมีความสะอาดบริสุทธิ์ มีพลังจิตเข้มแข็ง เช็าเย็นลงโบสถ์ท่านไม่เคยขาด ผมก็เข้าไปกราบท่าน ก็ได้รับศีลรับพรจากท่านทุกครั้ง และผมก็เคารพบูชาท่านด้วยจิตใจเลื่อมใส ผมสังเกตว่าท่านเป็นเม็ดริมคอข้างซ้าย จึงคิดสงสัยว่าคงเป็นเนื้อร้าย แต่ท่านไม่ยอมให้แตะต้อง ไม่ยอมให้รักษา ท่านพูดว่าเมื่อเป็นเองก็หายเอง เม็ดนั้นก็ค่อยโตใหญ่ขึ้น พอกลางปี พ.ศ. 2513 ฝีก็แตก ผมรู้ว่าท่านไม่ยอมให้รักษาและให้ทำแผล ท่านกลัวว่าจะไปทำลายเชื้อบัคเตรีก็จะเป็นบาป ผมจึงถวายยาเหลืองให้ท่าน แต่ท่านไม่ยอมรับ ผมต้องอธิบายเรียนให้ทราบว่า ยานี้ไม่ได้ฆ่าเชื้อไม่ได้รักษาให้หาย เพียงแต่ทำให้ทุเลาความเวทนาเท่านั้น ผมได้พยายามอธิบายให้ท่านทราบถึง 3 ครั้ง ท่านจึงรับยาเหลืองไว้  ผมได้พบก้อนเนื้อเท่าปลายหัวไม้ขีดไฟหลุดออกมาตามขอบริม ๆ ในระหว่างที่ถวายการทำแผลให้ท่าน ผมได้นำมาให้นายแพทย์ภิญโญ ศิริยพันธ์ สถาบันพยาธิทหารบก ปรากฏว่าเป็นโรคเนื้อร้าย SQUAMOUS CELL CARCINOMA ก่อนที่จะทำแผลผมได้พบกับคุณจำเนียร ปัทมะสุนทร หลานสะใภ้ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า บอกผมว่าเวลานี้แผลที่คอพระภิกษุพระยานรรัตนฯ ใหญ่ขึ้น เย็นวันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2513 ผมรีบไปคอยท่านที่จะลงโบสถ์สวดมนต์เสร็จแล้ว ผมจึงได้ขอทำแผลเพราะรู้สึกจะเป็นเนื้อร้าย ครั้นจะบอกตรง ๆ ว่าเป็นมะเร็ง ก็กลัวพระเณรอุบาสกอุบาสิกา และท่านที่เคารพจะพากันตื่นตกใจ   ท่านได้พูดกับผมว่า อาตมาให้หมอทำเป็นขวัญมือเป็นคนแรกและให้ทำเป็นคนสุดท้าย จะไม่ให้ใครได้ทำอีก พูดเสร็จท่านก็เอนกายลงกับอาสนสงฆ์ วันนั้นผมได้เห็นแผลที่คอท่านนั้น หากเป็นบุคคลธรรมดาสามัญแล้วจะบาดเจ็บสาหัสไม่สามารถจะทนได้ที่จะไม่ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดอย่างแสนทารุณ และต้องล้มหมอนนอนเสื่อ สังขารไม่สามารถจะทนเดินไปไหนได้ แต่ท่านก็ยังมีอาการปกติเหมือนเป็นธรรมดา คล้ายกับว่าไม่มีความรู้สึกทรมานในการเจ็บปวดครั้งนี้ เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ที่ผมได้เห็นได้พบมา เมื่อผมถามท่านก็บอกว่าไม่รู้สึกปวด เฉย ๆ เพียงแต่รู้ว่าเป็นเหมือนมีก้อนอะไรมาติดอยู่

เมื่อทำแผลให้ท่านเสร็จเรียบร้อย ท่านก็สวดมนต์อุทิศแผ่ส่วนกุศลถวายแก่พระมหากษัตรยิ์ในวงศ์จักรีทุกพระองค์ เสร็จแล้วท่านก็ยังนั่นพูดกับผู้ที่ยังไม่กลับมีทั้งพระและฆราวาสยังอยู่ในโบสถ์ ท่านยังพูดกับผมว่า “หมอ อันความตายและการพลัดพรากจากกันนั้นเป็นธรรมดา และเป็นไปตามธรรมชาติ เขาตายกันนับแต่ครั้งปู่ย่าตายาย แต่โบราณกาลมาตลอด ถ้าเราพิจารณาให้ดีก็จะรู้ว่า การตายไม่ใช่เป็นสิ่งที่น่าสยดสยองอย่างคนส่วนมากคิด คนเราเกิดมาก็ต้องมีสังขารเป็นที่อาศัย สังขารก็มีเวลาอยู่อย่างจำกัดย่อมจะมีเสื่อมมีทรุดโทรมเป็นไปตามกาลเวลา ความตายไม่ได้เป็นสิ่งที่หายไปไหน หากเป็นเพียงเปลี่ยนจากภพหนึ่งไปเกิดอีกภพหนึ่ง อุปมาเหมือนหมอกับอาตมาซึ่งอยู่ในเวลาปัจจุบันเดี๋ยวนี้กำลังสนทนา เวลาดับผ่านไปทุกวินาทีทุกชั่วโมง และหมอได้ทำแผลให้อาตมา ประเดี๋ยวหมอก็จะต้องกลับไปบ้านและอาตมาก็กลับไปกุฏิ และทุกคนก็พากันกลับไปที่อยู่ของตน นี่ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่เราต้องจากกัน เราได้พลัดพรากกันแต่เรายังมีชีวิต มีสังขารร่างกาย เมื่อเราไปแล้ว แต่ที่นี่ที่เราได้มาร่วมสนทนาก็จะว่างเปล่า ไม่มีหมอ ไม่มีอาตมา และไม่มีใคร เพราะต่างแยกกันไป รู้ว่าเรายังมีชีวิตอยู่ทุกคน อาตมาก็อยู่ที่กุฏิหลังจากที่ได้นั่งสนทนากัน แต่เวลานั้นก็ได้ผ่านดับไปตามโมงยาม เวลาไม่กลับมาอีกเป็นอดีต หมอก็เช่นเดียวกันก็ต้องนึกว่าวันนี้ได้ไปทำแผลให้อาตมา และได้สนทนากันในโบสถ์ที่วัดเทพศิรินทราวาส แต่เวลานั้นได้ผ่านไปเป็นอดีต ไม่กลับมาใหม่ เราก็มีแต่ความทรงจำเหลือไว้เท่านั้น แต่เราก็คิดถึงกันได้ทางใจ การตายก็เหมือนกับ เป็นการจากไปไม่ได้สูญไปไหน ยังคงอยู่ หากแต่เปลี่ยนจากสภาวะปัจจุบันนี้ไปอยู่อีกสภาวะหนึ่ง ซึ่งยากที่จะอธิบายให้เข้าใจได้ง่าย ๆ และเราก็ยังสามารถระลึกถึงกันได้ อย่าเข้าใจว่าสูญสิ้นไป ความตายความเกิดนั้นมีอยู่ตลอดเวลา”

**************************************************

การสนทนาธรรม

ตั้งแต่เรื่องนี้ไปเป็น เรื่องของการสนทนาธรรมระหว่าง ท่านเจ้าคุณนรฯ กับ ดร.บุญยง ว่องวานิช เมื่อครั้งสมัยบวชอยู่ที่วัดเทพศิรินทราวาส

ต้องว่ายน้ำให้เก่งก่อน

การบวชของข้าพเจ้าครั้งที่สองเมื่อปี 2507 ข้าพเจ้ายังจำคำพูดของแม่ชีวรมัย กบิลสิงห์ ว่า  ” ท่านเจ้าคุณนรฯ ไม่สอนใคร เอาแต่ตัวรอดแต่ผู้เดียว ” จึงถามท่านเจ้าคุณนรฯ ว่า “เขาพูดกันว่าพระเดชพระคุณไม่สอนธรรมะใคร เอาตัวรอดแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น” ท่านเจ้าคุณนรฯ ฟังเฉย ๆ แล้วตอบว่า “ถ้ามีใครตกน้ำกำลังจะจมน้ำตาย ถ้าเราคิดจะไปช่วยเขา เราต้องว่ายน้ำให้เก่งเสียก่อน จึงจะไปช่วยเขาได้ ถ้าว่ายน้ำไม่แข็ง เข้าไปช่วยเขา อาจถูกเขาฉุดหรือกอดจมน้ำตายได้ แม้พระพุทธเจ้าก็ทำเช่นนี้ พระพุทธองค์เข้าป่าศึกษาและปฏิบัติถึง 6 ปี ตรัสรู้แล้วจึงออกมาสอนผู้อื่น” คำพูดของท่านเจ้าคุณนรฯ น่าคิดมาก แต่ก็มีข้อโต้แย้งจากหลายฝ่ายว่า คนจบปริญญาตรีอาจจะสอนคนมีความรู้ต่ำกว่าปริญญาตรีได้ คนจบปริญญาเอกก็สอนคนจบปริญญาตรีได้ ข้อโต้แย้งนี้มีเหตุผลน่าฟัง ข้าพเจ้าขอฝากไว้ให้เป็นอาหารแห่งความคิดของท่านผู้อ่านต่อไป

สนใจในอำนาจจิตมาก่อน

ก่อนที่ท่านจะรับราชการอยู่ในพระราชวัง ท่านเจ้าคุณนรฯ สนใจในอำนาจของพลังทางจิตมาก่อน ท่านอ่านตำราเป็นภาษาอังกฤษ เมื่อข้าพเจ้าขอดู ท่านก็เอามาให้ดู ดังมีรายนามหนังสือต่อไปนี้ :-

1) The Hindu – Goi Science of Breath by Yogi Ramacharaka

2) Gnani Goga (The Yoga of Wisdom) by Yogi Ramacharaka

3) The Hindu – Yogi Science of Breath by Yogi Ramacharaka

4) A Series of Lessons in Raja Yoga by Yogi Ramacharaka

5) The Practical Water Cure As Practiced in India and other Oriental Countries by Yogi Ramacharaka Published by The Yogi Publication Society; Chicago, U.S.A.

6) Live Wisely – Live Well ! An Explanation of The Value of Air, Sunlight, Movement and Response as Natural Healing Factors by Bernhard Detmar M.D., Ph.D. (Berlin)

7) Fourteen Lessons in Yogi Philosophy and Oriental Occultism : A Unique Work Covering the Entire Field of the Yogi Philosophy and Oriental Occultism by Yogi Ramacharaka

8) Hatha Yoga or The Yogi Philosophy of Physical Will-Being Yogi Ramacharaka

9) The Science of Psychic Healing by Yogi Ramacharaka

ข้าพเจ้าจึงสั่งซื้อจากผู้พิมพ์เมืองนอกมาได้หลายเล่ม อ่านแล้วรู้สึกว่า ท่านเจ้าคุณนรฯ มีความรู้ลึกในเรื่องพลังทางจิตมาก ก่อนที่จะรับราชการในพระราชวังเสียอีก

ทำนายแม่นดังตาเห็น

ท่านเจ้าคุณธรรมไตรโลกาจารย์ สมณศักดิ์ในขณะนั้น (เมื่อ พ.ศ. 2500) ขณะนี้ท่านเป็นเจ้าอาวาสของวัดเทพฯ แล้ว เล่าให้ฟังว่า ท่านเจ้าคุณนรฯ ทำนายดวงชะตาแม่นมาก แต่น่าเสียดายที่ท่านเลิกเสียแล้ว ข้าพเจ้าถามว่าขอให้ยกตัวอย่างมาให้ดูสักเรื่องว่าแม่นอย่างไร เจ้าคุณธรรมฯ เล่าว่า ครั้งหนึ่งมีมหาดเล็กในวังมาให้ท่านทำนาย เจ้าคุณนรฯ เตือนว่าอย่าไปบางลำภูบนนะจะถูกตีหัว มหาดเล็กคงจะลืมหรืออย่างไรไม่ทราบ ไปบางลำภูบนถูกตีหัวจริง ๆ ข้าพเจ้าจึงนำเรื่องนี้ไปถามท่านเจ้าคุณนรฯ ท่านตอบว่าเวลาจิตนิ่ง มันจะเกิดเป็นภาพมาให้เห็นว่ามหาดเล็กผู้นี้ถูกตีหัวแตก จึงเตือนเขาไป ข้าพเจ้าถามว่าเห็นอย่างไร ท่านตอบว่าเห็นเหมือนกับเห็นภาพยนตร์ ข้าพเจ้าซักอีกว่าทำไมท่านเจ้าคุณนรฯ เลิกทำนาย ท่านตอบว่า วิชานี้ทำให้คนติด ไม่ทำให้คนพ้นทุกข์ จึงเลิก

เกิดวันเสาร์ด้วยกัน

ครั้งหนึ่งท่านเจ้าคุณนรฯ หยุดสนทนา แล้วเอามือชี้หน้าข้าพเจ้า ถามว่า ข้าพเจ้าเกิดวันเสาร์ใช่ไหม ข้าพเจ้าตกใจ ทำไมท่านทราบ ข้าพเจ้าไม่ได้บอกใคร ไม่ได้คิดว่าวันเสาร์ต่างกว่าวันอื่น จึงถามท่านไปว่าทำไมท่านรู้ ท่านตอบว่า การพูดจาแบบนี้เป็นคนเกิดวันเสาร์ ข้าพเจ้าถามว่าท่านพูดจาอย่างไร ท่านตอบว่า คนเกิดวันเสาร์คิดอะไรก็พูดตรงไปตรงมา โดยไม่คิดว่าจะถูกใจผู้ฟังหรือไม่ แต่คนเกิดวันเสาร์นี้เข้าทางศาสนาได้ดี ท่านพูดต่อไปว่า ท่านเจ้าคุณนรฯ ก็เกิดวันเสาร์เหมือนกัน นิ่งไปสักพัก ท่านพูดต่อว่า “คนเกิดวันอังคารดีกว่า” ข้าพเจ้าถามว่าดีกว่าตรงไหน ท่านตอบว่า คนเกิดวันอังคารเป็นคนแข็งเหมือนกัน แต่มีวิธีพูดให้ถูกใจคนจึงดีกว่าตรงนี้

แอบถามท่าน
ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าและอาจารย์เสถียร โพธินันทะ ไปคุยที่กุฏิท่านเจ้าคุณศรีวิสุทธิญาณ สมณศักดิ์ในขณะนั้น ข้าพเจ้าคุยว่าข้าพเจ้าชอบบทเจริญพระพุทธมนต์ตอนจะลงท้ายที่สุดที่ว่า

ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา

สัพพะพุทธานุภาเวนะ สะทา โสตถิ ภะวันตุ เต

และต่อไปยัง “ธัมมา” และ “สังฆา”

โดยให้ความเห็นว่า “สั้นและใจความคลุมหมด” ท่านเจ้าคุณศรีฯ บอกว่า คุณบุญยงพูดเหมือนในหลวงรัชกาลที่ 6 ท่านก็ชอบบทนี้เหมือนกัน

ตอนหนึ่งท่านเจ้าคุณศรีฯ ให้ความเห็นว่า พระสงฆ์ในวัดกำลังเดาว่าจิตของท่านเจ้าคุณนรฯ คงเข้ากระแสพระนิพพานแล้ว แต่สงสัยว่าอยู่ในระดับไหน ข้าพเจ้าเก็บเอาความสงสัยนี้มาคิดและตัดสินใจว่าจะต้องถามท่านตรง ๆ เลยจะดีกว่า วันหนึ่งข้าพเจ้าถามท่านว่า

“ท่านอยู่วัด ไม่ไปยุ่งกับใคร ศีล 5 ควรจะบริสุทธิ์”
ท่านมองหน้า คงสงสัย แต่ไม่ตอบ ข้าพเจ้าถือว่าอาการนิ่งของท่านว่าท่านรับว่าจริง ข้าพเจ้าพูดต่อไปว่า “ถ้าศีล 5 บริสุทธิ์ และมีความเชื่อมั่นในพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ จิตของผู้นั้นก็เข้าสู่กระแสพระนิพพานแล้ว มีพระในวัดนี้อยากจะทราบว่า ท่านสำเร็จแล้ว อยู่ในระดับไหน?” ท่านเจ้าคุณนรฯ ตอบทันทีว่า เรื่องนี้บอกไม่ได้ ข้าพเจ้าแย้งว่าข้าพเจ้าก็เป็นพระ ท่านก็เป็นพระ น่าจะบอกได้ เพราะเป็นการบอกระหว่างพระด้วยกัน ท่านเจ้าคุณนรฯ ตอบทันทีว่า “พระบวชใหม่บอกไม่ได้” เป็นอันว่าจบ ข้าพเจ้าต้องแบกความสงสัยของข้าพเจ้าไว้เพียงแค่นั้น เหมือนกับพระในวัดเทพฯ ทั้งหลาย

โยคีในอินเดีย
ท่านเล่าเรื่องโยคีในอินเดียว่า พวกนี้เก่ง พอน้ำกามเต็มถุงอัณฑะ ความรู้สึกทางเพศก็จะเกิด พวกโยคีเหล่านั้นใช้พลังจิตเปลี่ยนน้ำกามเหล่านั้นเป็นพลังงานกลับไปเลี้ยงร่างกายได้อีก ความรู้สึกทางเพศจึงไม่อันตราย อีกประการหนึ่งพวกนี้สามารถเอาพลังทางอากาศ (ปราณะ หรือออกซิเจน) ไปเลี้ยงร่างกายแทนอาหารได้

สมณศักดิ์

ตอนหนึ่งท่านเจ้าคุณนรฯ ปรารภว่า ทางโลกนี่แปลก พระพุทธเจ้าให้เลิกชั้นวรรณะ แม้แต่ยศถาบรรดาศักดิ์ต่าง ๆ ให้ยกเลิกหมด มาถือพรรษาเป็นหลัก แต่ทางโลกกลับไปตั้ง “พระครู” กับ “เจ้าคุณ” หลายระดับ มันขัดกัน ข้อนี้ข้าพเจ้าไม่มีความเห็น ท่านเจ้าคุณนรฯ เพียงปรารภ เรื่องจึงเงียบหายไป ทิ้งข้อคิดไว้ให้คนที่ชอบคิดช่วยกันคิด

ส้วมสาธารณะ

ตอนหนึ่งท่านถามทำเอาข้าพเจ้าตกใจพูดไม่ออก ท่านถามว่า เมื่อเป็นฆราวาสเคยไปเที่ยวส้วมสาธารณะหรือเปล่า? ข้าพเจ้ารู้ทันทีว่าหมายถึงอะไร หลังจากอึกอักสักครู่และพอตั้งสติคิดว่า ขณะนั้นข้าพเจ้าเป็นพระสงฆ์ และจะไม่ยอมผิดศีลข้อ “มุสาวาทาฯ” จึงตอบไปว่า “เคย” ท่านถามอีกว่า “มาตุคาม” แปลว่าอะไร ข้าพเจ้าตอบ “ไม่ทราบ” ท่านอธิบายว่า “มาตุคาม” แปลว่า “แผ่นดิน” แผ่นดินเป็นของสาธารณะ เป็นของรองรับความสกปรกทั้งหลาย ทำไมเอาของดี ๆ ของเราไปอยู่ในส้วมสาธารณะ ข้าพเจ้านิ่งเพราะขณะนั้นยังงง หาคำตอบไม่ได้ ท่านพูดต่อไปอีกว่าสตรีเป็นศัตรูของพรหมจรรย์ ถ้าตัดตรงนี้ไม่ได้ จะไปนิพพานไม่ได้เช่นกัน ข้าพเจ้าคิดในใจต่อไปว่า “บางคนเป็นถึงมหาเปรียญ วนไปเวียนมาก็ไม่พ้นบ่อน้ำน้อย ๆ นี้” เมื่อถูกท่านเจ้าคุณนรฯ ถามกลับเอาตรง ๆ เล่นเอาการสนทนาหมดรสชาติไปแยะ ทุก ๆ วันมีแต่ข้าพเจ้าเป็นฝ่ายถามท่าน พอถูกถามบ้างก็จนปัญญา

ตอนอำลา

เมื่อข้าพเจ้าลาสิกขา ก่อนจะขึ้นรถยนต์ที่หลังวัด ข้าพเจ้าไม่ลืมที่จะยกมือไหว้ไปทางกุฏิท่านเจ้าคุณนรฯ เห็นท่านยืนอยู่ตรงหน้าต่าง มองมายังข้าพเจ้าพอดี พอท่านเห็นข้าพเจ้ายกมือไหว้ ท่านก็ยืนแบบสำรวม นั่นเป็นภาพสุดท้ายของความทรงจำที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าเข้าใจว่าท่านมายืนส่งข้าพเจ้า ต้องเล่าอีกว่า เมื่อข้าพเจ้าทำพิธีลาสิกขาเสร็จแล้ว ข้าพเจ้าไปอาบน้ำหลังกุฏิ ท่านเจ้าคุณนรฯ เดินมาทางด้านหลังกุฏิ เอาน้ำมารดอวยพรให้ข้าพเจ้า ฟังแล้วชื่นใจ คำอวยพรของท่านไพเราะที่สุดในชีวิตของข้าพเจ้า ตอนหนึ่งท่านว่า “ขอให้เป็นเสมือนพระจันทร์วันเพ็ญ ถ้ามีเมฆหมอกมาบังก็ขอให้ผ่านไป ขอให้พระจันทร์ทอแสงสว่างตลอดไป”

ยังมีเรื่องเล่าต่ออีก แต่ขณะนี้ข้าพเจ้าระลึกได้เพียงเท่านี้ ถ้าระลึกได้อีก วันหลังจะนำมาเล่าต่อ

ขอสรุปว่า ท่านเจ้าคุณนรฯ บรรพชาอุปสมบทเมื่ออายุ 29 จิตไม่มั่นคงอยู่ถึง 6 ปี เมื่อครบ 6 ปีแล้ว จิตจึงมั่นคง ท่านบำเพ็ญทางจิตทางเดียว ถ้าจะนับอายุออกบวช 29 และ 6 ปี แห่งความไม่มั่นใจแล้ว ก็จะคล้ายกับพระพุทธเจ้า

**************************************************

อดทนเป็นเลิศ

          ในด้านความอดทนเป็นเลิศไม่มีผู้ใดที่จะมีขันติได้อย่างท่าน ถึงแม้ร่างกายของท่านจะไม่ค่อยสมบูรณ์อย่างบางคน จะสังเกตข้อวัตรปฏิบัตินับจากท่านบวชไม่เคยขาดการทำวัตร จะมีก็อยู่ครั้งหนึ่งท่านถูกงูเห่ากัดที่ข้อเท้าจนบวมเป่ง จนสมเด็จพระอุปัชฌาย์ได้ตักเตือนว่า “อย่าทรมานนักคุณ” ท่านจึงได้หยุดการลงพระอุโบสถ 1 วัน แต่รุ่งขึ้นก็หายเป็นปกติ ทั้ง ๆ ที่มิได้ไปหาหมอหรือกินยารักษา ท่านรักษาด้วยสมาธิจิตอย่างแท้จริง ถ้าปกติเป็นผู้อื่นข้าพเจ้าคิดว่าจะต้องรีบไปหาหมอ และพักรักษาเป็นเวลาหลายวัน ยังมีอยู่ครั้งหนึ่ง ตอนเย็นหลังจากท่านลงจากทำวัตรเรียบร้อย ก่อนจะสรงน้ำท่านได้เอาน้ำมารดต้นไม้ในกระถาง แต่ในขณะที่กำลังรดน้ำอยู่ก็รู้สึกว่าถูกสัตว์กัดที่บนหลังเท้าซ้ายเป็นรอย 4 เขี้ยว ตอนแรกเข้าใจว่าเป็นงู ต่อเมื่อท่านที่อยู่กุฏิข้างเคียงได้เอาไฟฉายมาส่องเห็นมีคางคกแดงอยู่ข้างกระถาง ท่านนึกว่า “คางคกกัดก็มิได้” ตอนที่ถูกกัดครั้งแรกมีอาการปวดมาก ท่านจึงได้เรียนให้ท่านเจ้าคุณธรรมไตรโลกอาจารย์ทราบว่า ท่านถูกคางคกกัด แต่ท่านได้สั่งกำชับไม่ให้บอกแก่ใคร เพราะเกรงว่าจะเดือดร้อนนำหมอมาฉีดยาให้ พร้อมกันนี้ก็ได้สอบถามนายชิตซึ่งเป็นคนรักษาโบสถ์ บอกว่าถ้าคางคกกัดก็ต้องตาย ท่านเลยได้บอกกับนายชิตว่า ถ้าพรุ่งนี้เช้าอาตมาไม่ลงมาทำวัตรแสดงว่าอาตมาตายนะ หลังจากนั้นท่านก็เดินขึ้นไปบนกุฏิแล้วเอาผ้ารัดเข่าซ้ายแน่น จากนั้นจึงใช้วิธี Inhibition ขับไล่ความปวด ท่านได้ปฏิบัติต่อสู้จนรุ่งสว่างถึงหายปวด ส่วนขาข้างซ้ายใต้เข่าลงมายังปวดอยู่ แต่ท่านก็คงจะปฏิบัติลดลงมาจนแห้งหายไปเป็นปกติ ด้วยวิธีบำบัดโดยทางโยคศาสตร์ นอกจากนี้ท่านก็ยังเป็นมะเร็งกรามช้าง คือกรามทั้งสองข้างจะบวมและเป็นแผลในปาก ตอนแผลยังไม่แตกจะมีอาการปวดมาก แต่ท่านก็มิได้เคยขาดการลงสวดมนต์ในโบสถ์ ถึงแม้ท่านจะอ้าปากไม่ค่อยได้ แต่ด้วยความเพียรพยายามด้วยสัจจะอธิษฐาน ท่านยอมทนทุกข์ทรมานต่อเวทนาอย่างแสนสาหัสจนกระทั่งแผลแตก ในระยะที่แผลแตกท่านก็มิได้จำวัด จะต้องใช้หมอนกองสูงถึงอก ก้มหน้าหนุนหมอนอ้าปากให้หนองไหลลงสู่กระโถน เมื่อแผลหายจะปรากฏที่แก้มเป็นรอยบุ๋มอย่างเห็นได้ชัด

ยังมีอยู่คราวหนึ่ง ท่านพระครูปัญญาภรณ์โสภณ (มหาอำพัน บุญหลง) เล่าให้ฟังว่า วันหนึ่งขณะที่พระภิกษุธมฺมวิตกฺโก ได้ฟังเทศน์ในพระอุโบสถ ซึ่งวันนั้นเป็นวันพระ หลังจากที่ได้ฟังเทศน์จบ ท่านก็ได้เดินกลับไปกุฏิ ขณะที่กำลังก้าวขึ้นบันไดไปห้องชั้นบน ก็รู้สึกว่าร่างกายซีกซ้ายของท่านหมดแรงคล้าย ๆ จะเป็นอัมพาตไปแถบหนึ่ง ทรงตัวต่อไปไม่ได้ แต่ท่านก็มีสติอันมั่นคงดี โดยพยายามพยุงตัวเองทรุดลงนั่ง พร้อมกันนั้นท่านจึงได้ใช้วิชาการที่ท่านได้ศึกษาปฏิบัติ โดยการเอามือข้างขวาคลำตรงที่หัวใจดูก่อนเพื่อตรวจชีพจรที่ยังเต้น แล้วท่านจึงได้ใช้วิธี Directing the Circulation มายังซีกซ้าย ต่อจากนั้นไม่นานก็จะรู้สึกค่อย ๆ ร้อนขึ้นที่ปลายนิ้ว และพร้อมกับร่างกายซีกด้านซ้ายก็จะค่อย ๆ อบอุ่นขึ้นมาเป็นปกติ นอกจากนี้ท่านยังได้เล่าว่าตอนบ่ายหลังจากลงโบสถ์ก็ยังมีอาการแบบเดียวกับที่เป็นตอนเช้า แต่ท่านก็ได้ใช้วิธีปฏิบัติมาแบบเดิมก็เป็นปกติ และนับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาก็ไม่เคยปรากฏว่าจะเป็นอีกเลย ซึ่งวิธีนี้ก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจถ้ามีผู้ใดจะนำไปปฏิบัติบ้างก็อาจจะเป็นประโยชน์ไม่น้อย

“วิธี Directing the Circulation มีอธิบายอยู่ใน Science of Breath”

ในปัจจุบันนี้จะมีฝรั่งจากต่างประเทศที่สนใจในหลักพระพุทธศาสนา เข้ามาอุปสมบทในศาสนาพุทธก็มีจำนวนไม่น้อย แต่ส่วนมากที่จะเข้ามาอุปสมบททุกท่านมักจะได้ศึกษาหลักศาสนามาบ้างพอสมควร และบางท่านมักจะเป็นชนชั้นประเภทปัญญาชน ที่มีปริญญาและมีสภาพฐานะดีส่วนมาก ได้มีจิตเลื่อมใสในหลักธรรมทางพุทธศาสนาเป็นอันมาก ขอได้หันเข้ามาอุปสมบท เมื่อติดขัดต่อธรรมบางข้อ หรือการปฏิบัติกรรมฐานวิปัสสนา ส่วนมากก็จะมาดักพบท่านเจ้าคุณธมฺมวิตกฺโก เพื่อจะให้ท่านช่วยแนะนำการปฏิบัติ ท่านก็จะแนะนำให้โอวาทในเรื่อง “หน่ายกาม” และได้อธิบายบอกวิธีอย่างละเอียดด้วย เนื่องจากท่านเก่งในวิชาภาษาอังกฤษมาก จนเป็นที่พออกพอใจของพระภิกษุฝรั่งที่มาขอคำแนะนำจากท่าน

                                                           พระเครื่องท่านเจ้าคุณนรฯ

          ประเทศไทยเรานับได้ว่าเป็นต้นตำรับแห่งวงการพระเครื่องจนกระทั่งในปัจจุบันนี้ได้ขยายความนิยมไปจนถึงต่างประเทศเช่น ฮ่องกง สิงคโปร ไม่เว้นแม้ กระทั่งเมืองแขกอย่างมาเลเซีย  คุณค่าความนิยมเรื่องพระเครื่องในสมัยอดีตกับในปัจจุบันนั้นแตกต่างกันมาก อาจเป็นเพราะมีการตีราคาพระเครื่องเป็นมูลค่าเงิน และการโฆษณาอวดอ้างสรรพคุณต่าง ๆ หลายคนแขวนพระเพื่อเป็นเครื่องประดับบารมี  และบางคนก็แขวนพระเก๊ราคาเป็นแสนเป็นล้าน จนกระทั่งตายไปก็ยังไม่รู้ ลูกหลานที่ได้รับมรดกก็ไม่รู้อีก พระเครื่องของเก๊ในอดีต หลายต่อหลายองค์ กลายเป็นของแท้ไปแล้วในวันนี้ และในอนาคตอีกหลายปีข้างหน้าจะมีพระเครื่องที่เก๊ในวันนี้แต่จะไปแท้ในวันข้างหน้าอีกกี่องค์กันใครจะไปรู้ได้ ที่ผมเขียนแบบนี้ไม่ได้หมายความว่าของเก๊กับของแท้มันจะแยกกันไม่ออกนะครับ แต่เป็นเพราะว่า คนเรามันพยายามจะยัดของเก๊ให้เป็นของแท้ต่างหากล่ะครับ โดยเฉพาะพวกคนที่ทำหนังสือออกมาขายกัน คนไทยเรา มักจะอ้างอิงความแท้-เก๊ของพระเครื่องกันด้วย หนังสือ แต่มีกี่คนล่ะครับที่จะดูที่มาของหนังสือเล่มนั้น ๆ ว่าใครเขียน ใครพิมพ์ พิมพ์ปีไหน อ้างอิงจากที่ไหนกันบ้าง แค่ขอให้มีรูปภาพ มีข้อความลงกันก็เพียงพอแล้ว หนังสือประวัติพระเครื่องท่านเจ้าคุณนรฯ พิมพ์รวมเล่มครั้งแรกปีพ.ศ.2516  โดย ท.ศิริปัญโญ เล่มสองในปีเดียวกัน เฉพาะของท่านเจ้าคุณอุดม และก็มีก๊อปปี้  ออกมากันเรื่อย ๆ จนกระทั่งปีพ.ศ.2538 ได้มีหนังสือรวมประวัติและพระเครื่องของท่านเจ้าคุณนรฯ ออกมาอีกหนึ่งเล่มซึ่งทำรูปเล่มได้สวยงามเนื้อหาภายในเล่มส่วนที่เป็นประวัติก็คัดลอกของ ท.ศิริปัญโญมาทั้งเล่ม ส่วนที่เป็นพระเครื่องเอาภาพพระเก๊มาลงบางส่วน เช่นสมเด็จวัดวิเวกหลังตรายาง ซึ่งองค์ในเล่มนั้นดูง่ายมากว่าเก๊ รวมถึงของที่สร้างรุ่นหลัง เอามาบอกว่าทัน แล้วยังมาชี้จุดตำหนิมั่วซั่ว เป็นหนังสือที่ไร้ความรับผิดชอบมากที่สุด ผมเองเคยไปถามคนทำหนังสือเล่มนั้นที่แผงพระในท่าพระจันทร์ว่าพระเครื่องรุ่นรูปเหมือนลอยองค์ก้นอุดผง ที่อยู่ในตู้ของเขานั้นทันท่านเจ้าคุณนรฯแน่หรือ ( ซึ่งความจริงผมเคยเห็นกล่องเดิมๆของพระรุ่นนี้จะเขียนปีพ.ศ.2516 ) คำตอบที่ได้คือ  ทันสิไม่เชื่อดูในหนังสือก็ได้ มีลง แล้วเขาก็เปิดหนังสือซึ่งเขาเป็นคนเขียนเอง ลงรูปเอง ให้ผมดู แล้วลูกหลานเราที่จะเกิดมาในอนาคตข้างหน้าถ้ามาอ้างอิงจากตำราเล่มนี้ล่ะครับ จำนวนที่พิมพ์ออกมาถึง 3000 เล่ม ปกแข็งและรูปเล่มที่สวยงามน่าเชื่อถือ ก็คงจะคิดว่าพระหลาย ๆองค์ในหนังสือเล่มนั้นเป็นพระแท้ ยังไม่นับรวมไปถึงหนังสือนิตยสารอีกหลายเล่มนะครับที่ลงรูปพระเครื่องท่านเจ้าคุณนรฯ ของปลอมแปลก ๆ ออกมา เช่น เหรียญสังฆาฏิใหญ่เนื้อทองคำ พิมพ์ ต.หางยาว สระอิกลวง ซึ่งในประวัติศาสตร์การสร้างไม่เคยมี เป็นพิมพ์ของเนื้อทองแดงเท่านั้น  เนื้อทองคำ เงิน นวะ มีเพียงพิมพ์เดียวเท่านั้นคือ ต.หางยาว สระอิตัน นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กน้อยเท่านั้นนะครับที่ผมเสนอ ความมั่วในวงการนี้ยังมีอีกเยอะ แต่ถ้าคุณศึกษาให้ลึกและละเอียดรอบคอบสักหน่อยก็จะเข้าใจได้ดี ความจริงแล้วพระเครื่องท่านเจ้าคุณนรฯนั้นสร้างออกมาจำนวนมากครับของแท้ ๆ ในปัจจุบันนี้ก็ยังหาได้ไม่ยากเกินความสามารถ ผู้ที่รู้จริงก็มีหลายคน

สำหรับความคิดผมนั้น พระเครื่องท่านเจ้าคุณนรฯ ถึงจะเป็นของปลอม หรือเป็นแค่รูปถ่ายที่ไม่ได้อธิฐานจิตปลุกเสก ก็มีความศักดิ์สิทธิ์แน่นอนครับ ท่านเคยกล่าวไว้ว่า “ ไม่มีก็ไม่ต้องดิ้นรน สร้างกรรมดี ถึงไม่มีพระ ความดีก็ปกป้องเราได้เอง ทำดี ดีกว่า ขอพร”

เป็นเรื่องที่ไม่สมควรเลยนะครับที่มาเขียนกล่าวว่าผู้อื่นในหนังสือธรรมมะที่พิมพ์แจกฟรี แต่เจตนาของผมทำไปเพื่อเตือนสติให้หลาย ๆ คนได้คิดนะครับว่าแหล่งอ้างอิงบางสิ่งนั้นสมควรจะเชื่อถือหรือไม่ ท่านควรใช้ปัญญาไตร่ตรองให้รอบคอบดั่งคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ได้กล่าวไว้ในกาลามสูตรข้อนึงว่า “ อย่าเชื่อเพียงเพราะว่ามีอยู่ในตำรา ” เป็นการติเพื่อก่อ โปรดอโหสิกรรมให้ด้วย

**************************************************

                                                             เรื่องอภินิหาร

คราวหนึ่งท่านได้เคยพูดกับนายอธึก สวัสดิมงคล นายกยุวพุทธิกสมาคมชลบุรี ภายหลังจากถวายของให้ท่านอธิษฐานจิตแล้ว เป็นคติน่าฟังมาก

          “ทั้งหมดนี่” ท่านกล่าวขึ้น พร้อมกับชี้มือไปยังหีบพระเครื่องต่าง ๆ ที่ท่านอธิษฐานจิตแล้ว “สู้ธรรมะไม่ได้”

          แสดงว่าท่านยกย่องการประพฤติปฏิบัติตามหลักธรรมของสมเด็จพระบรมศาสดานั้นว่า มีความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด สำคัญยิ่งกว่าการมีพระเครื่องไว้ประจำตัว

          อีกคราวหนึ่งในปี 2513 หลังจากพิธีสวดอธิษฐานจิตเมื่อวันเสาร์ห้าผ่านไปเพียงเล็กน้อย นายแพทย์สุพจน์ ศิริรัตน์ ได้นำพระเครื่องพิมพ์นาคปรกเนื้อนวโลหะที่ท่านเจ้าคุณอุดมฯ สร้างเพื่อจำหน่ายหารายได้สมทบทุนสร้างโรงเรียนนวมราชานุสรณ์ นครนายกนั้น ราว 4-5 องค์ไปถวายให้ท่านอธิษฐานจิตซ้ำอีก ก่อนที่ท่านจะยินยอมอธิษฐานจิตให้ ได้ถูกท่านเทศนาสั่งสอนอย่างเจ็บ ๆ อยู่นานร่วม 1 ชั่วโมง

          “หมอนี่เรียนมาเสียเปล่า มาหลงงมงายอะไรกับเรื่องพรรค์นี้ !”

          ท่านได้ว่ากล่าวสั่งสอน มิให้ลุ่มหลงมัวเมาอยู่กับเรื่องของขลังและอภินิหาร เพราะอภินิหารต่าง ๆ นั้น มิได้ช่วยให้ทุกคนรอดพ้นจากภัยอันตรายได้ทุกครั้งอยู่เสมอไป

          ตลอดเวลาที่ท่านเทศนาว่ากล่าวอยู่นานโขนั้น นายแพทย์สุพจน์ ได้โต้แย้งท่านอยู่ไม่หยุดเช่นกัน โดยปกตินั้นท่านชอบคนโต้เถียงท่านด้วยเหตุผลอยู่เหมือนกัน

          การที่นายแพทย์สุพจน์โต้เถียงท่านในเรื่องอภินิหารนั้น ก็เป็นด้วยนายแพทย์ผู้นี้ได้เคยเอาพระเครื่องกรุเก่า มาทดลองยิงด้วยปืนพกด้วยมือของตนเองมาหลายครั้งหลายหน จนกระสุนหมดไปหลายกล่อง ปรากฏผลเป็นที่น่าทึ่งมาก โดยใช้วิธีอาราธนาพระไว้ที่ตัวปลาหมอ ในระยะที่ยิงได้แม่นยำอย่างสบาย แล้วก็ระเบิดกระสุนใส่เข้าไป !

          ผลของการทดลอง ปรากฏว่าจากการยิงพระนางพญากรุพิษณุโลก ราว 7-8 องค์ ส่วนใหญ่ยิงถูกแต่ไม่เข้า (คงกระพัน) บางองค์ยิงไม่ถูก (แคล้วคลาด) มีอยู่องค์หนึ่งยิงไม่ออก (มหาอุด) และพระปิดทวารของหลวงปู่เอี่ยมวัดหนัง พิมพ์ใหญ่ชนิดสองหน้า ที่เรียกกันว่าพิมพ์พระประกับนั้น ยิงไม่ออก เป็นยอดมหาอุดจริง ๆ

          จากประสบการณ์ดังกล่าวนี้เอง ทำให้นายแพทย์สุพจน์ ศิริรัตน์ เชื่อมั่นในอภินิหารของพระเครื่องเป็นยิ่งนัก และเอาเรื่องนี้มาโต้แย้งกับท่านธมมวิตกโก ที่ท่านกล่าวหาว่ามาหลงงมงายอยู่กับอภินิหารไม่เข้าเรื่อง !

          “เรื่องอภินิหาร พระเดชพระคุณว่ามีจริงไหม ?” นายแพทย์สุพจน์ เอ่ยขึ้นตอนหนึ่ง

          “จริง” ท่านตอบ จากนั้นท่านกล่าวสืบต่อไปว่า

          “หมอเคยเห็นเคยได้ยินข่าวเรื่องโจรผู้ร้ายที่แขวนพระไว้เต็มคอ แต่แล้วก็กลับถูกตำรวจยิงตาย หรือไม่ก็ถูกจับได้ ต้องติดคุกไปบ้างไหม? ถึงแม้จะมีพระอยู่เต็มคอก็ช่วยอะไรไม่ได้ใช่ไหม?”

          แล้วท่านกล่าวสำทับในที่สุดว่า

“อภินิหารนั้นหนีกฎแห่งกรรมไม่พ้น”

          เมื่อถูกท่านขนาบด้วย “ไม้ตาย” เช่นนี้ ก็ทำเอานายแพทย์สุพจน์ ต้องนิ่งงันสงบปากไม่อาจจะกล่าวโต้แย้งในเรื่องอภินิหารใด ๆ กับท่านได้อีกต่อไป

          ตามที่กล่าวมานี้ จะเป็นที่เห็นได้ชัดว่า แม้ท่านธมมวิตกโกจะตั้งใจอธิษฐานจิตและแผ่เมตตาลงในพระเครื่อง ด้วยความเชื่อมั่นว่า มีความศักดิ์สิทธิ์สามารถปกป้องคุ้มครองผู้สักการะบูชาได้ก็จริง แต่ผู้มีพระเครื่องไว้คุ้มครองนั้น ก็จะต้องประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพระบรมศาสดา เจ้าของที่มาแห่งองค์พระปฏิมานั้นด้วย

บรรณานุกรม

ปาฏิหาริย์ในพุทธศาสนา         สมโพธิ      ผลเต็ม     ประวัติท่านเจ้าคุณนรฯ  2516
การเข้าพบเจ้าคุณนรฯ            ประชา       ตรีพาสัย                     เจ้าคุณนรฯ  2516
เหตุที่เลิกบิณฑบาต               การุณย์      เหมวนิช  ประวัติท่านเจ้าคุณนรฯ  2516
“This Life is the last”           การุณย์      เหมวนิช  ประวัติท่านเจ้าคุณนรฯ  2516
ทำเมืองให้เป็นป่า                  การุณย์      เหมวนิช  ประวัติท่านเจ้าคุณนรฯ  2516
ภัยของกามคุณ                     ยงยุทธ์      วิริยายุทธังกุร            เจ้าคุณนรฯ  2536

การรดน้ำมนต์                      การุณย์      เหมวนิช  ประวัติท่านเจ้าคุณนรฯ  2516
สัมภาษณ์หมอไพบูลย์            ท.เลียงพิบูล    ท่านผู้ให้แสงสว่าง 2520

การสนทนาธรรม                    ดร.บุญยง         ว่องวานิช    เจ้าคุณนรฯ 2538

อดทนเป็นเลิศ                      ท.สิริปัญโญ             ประวัติท่านเจ้าคุณนรฯ 2516
พระเครื่องท่านเจ้าคุณนรฯ       สมชาย    ปรางค์นวรัตน์ 2547

เรื่องอภินิหาร                        การุณย์      เหมวนิช   ประวัติท่านเจ้าคุณนรฯ  2516

 
 
ตะกร้าพระเครื่อง

ดูตะกร้าพระเครื่อง
แจ้งการชำระเงิน
ตรวจสอบวันจัดส่ง
สถานะการส่งพระเครื่ง

พระเครื่องแนะนำ

25-2-66
พระบูชารูปเหมือนสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์เจริญ


โชว์ บาท

25-2-66
พระรูปเหมือนใบธิ์ เนื้อนวโลหะ ปี 2512 แบบตอกโค๊ด


30000 บาท

25-2-66
พระนาคปรกใบขนุนเนื้อชินสังฆวานร พระสวยเดิม


9500 บาท

25-2-66
พระนาคปรกใบโพธิ์ 7 เศียร พิมพ์เล็กเนื้อนวโลหะ


AC บาท
บูชาแล้ว

25-2-66
เหรียญกนกข้างพิมพ์ใหญ่บล็อก ม.มีจุด (นิยม)


18500 บาท

25-2-66
พระไตรภาคีพิมพ์รูปเหมือนใหญ่เลี่ยมทองอย่างหนา


BD บาท
บูชาแล้ว

24/2/2566
พระปิดตา พิมพ์ตุ๊กตาใหญ่ เนื้อผงใบลาน ฝังตะกรุด


57000 บาท

24/2/2566
เหรียญเขียวในโลง หายาก เป็นเหรียญที่ใส่ไว้ในโลงท่านฯ


โทรถาม บาท

24/2/2566
พระสมเด็จ 3 ชั้นหลังยันต์นูน (เนื้อน้ำอ้อย)พิมพ์จัมโบ้


8000 บาท

21/02/66
เหรียญหลังเต่ารุ่นแรก บล็อกยันต์เคลื่อน


48000 บาท

6/10/65
เหรียญเขียวในโลง (เหรียญเอเชียนเกมส์) หายาก


โทรถาม บาท

6/10/65
พระผงหลวงพ่อพรหม รุ่นฉลองมณฑป พิมพ์ระฆังใหญ่


โทรถาม บาท

9/8/65
พระกริ่งสายฟ้า ตอกโค๊ต 1 ตัว


โทรถาม บาท

28/06/63
พระบูชารูปเหมือนท่านเจ้าคุณนรฯ รุ่นแรกหน้าตัก 5 นิ้ว


โทรถาม บาท

27/12/61
ออกใบรับรองพระแท้ ตอนนี้ท่านสามารถออกใบรับรองพระแท้ได้แล้วนะครับ ในนามร้านศักดิ์ ตลิ่งชัน


บาท

27/12/61
ออกใบรับรองพระแท้ ตอนนี้ท่านสามารถออกใบรับรองพระแท้ได้แล้วนะครับ ในนามร้านศักดิ์ ตลิ่งชัน


บาท

27/12/61
ออกใบรับรองพระแท้ ตอนนี้ท่านสามารถออกใบรับรองพระแท้ได้แล้วนะครับ ในนามร้านหมีพูห์ ปู่ทิม


บาท

27/12/61
ออกใบรับรองพระแท้ ตอนนี้ท่านสามารถออกใบรับรองพระแท้ได้แล้วนะครับ ในนามร้านโต้ ท่าพระจันทร์


บาท

19/12/61
เหรียญหลังเต่า บล็อกยันต์เคลื่อน สภาพสวยเดิม ๆ จมูกโด่ง ผิวดี สภาพนี้หายากแล้วครับ


G บาท
บูชาแล้ว

3/10/61
พระสมเด็จวัดวิเวกวนารามหลังยันต์นูนปั้มยันต์หมึก


โทรถาม บาท

22/9/60
พระรูปเหมือนปั๊ม พิมพ์เตารีดหลังยันต์ เนื้อตะกั่วชุบทอง สภาพสวยเดิม ๆ


โทรถาม บาท

25/07/2560
เหรียญเม็ดแตง หน้าผาก 3 เส้นปีกกา หัวขีด มาพร้อมเลี่ยมจับขอบฝังเพชร


โทรถาม บาท

26-04-60
ออกใบรับรองพระแท้
ตอนนี้ท่านสามารถออกใบรับรองพระแท้ได้แล้วนะครับ ในนามร้านศักดิ์ ตลิ่งชันในสายพระเครื่องของท่านเจ้าคุณนรฯ


โทรถาม บาท

11-4-60
ขันน้ำมนต์ วัดเทพศิรินทราวาส สร้างปี 2495 สภาพสวยเดิม ๆ สร้างน้อย


โทรถาม บาท

1-2-60
เหรียญกนกข้างพิมพ์ใหญ่ เนื้อเงิน บล๊อกนิยมสวยมาก มาพร้อมตลับทอง


โทรถาม บาท

พระเครื่องแนะนำทั้งหมด