พระเครื่องทั้งหมด 3781 ชิ้น
ตะกร้าพระเครื่อง : ( )
สารบัญหลัก
พระท่านเจ้าคุณนรฯ (1394) พระเครื่องอื่น ๆ (973) เครื่องรางของขลัง (10) พระบูชา (67)
บทความ
ประวัติสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
ประวัติท่านเจ้าคุณนรฯ
ประวัติสมเด็จพระวันรัต
ตำนานพระพุทธรูป
หลัการดูพระเบื้องต้น
เปิดโลกสมเด็จ
เปิดโลกพระกรุ
ทำเนียบสมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติการสร้างพระเครื่อง
อ่านบทความทั้งหมด
กระดานสนทนา
เว็บบอร์ดพระวัดเทพศิรินทราวาส เว็บบอร์ดพระทั่วไป ซื้อขายแลกเปลี่ยน
เมนูช่วยเหลือ
วิธีการบูชา วิธีการชำระเงิน คำถาม-ตอบ เกี่ยวกับเรา แผนที่ร้านฯ ติดต่อเรา นโยบายคุกกี้
อัตราแลกเปลี่ยน
ตรวจสอบการจัดส่งสินค้า
 
ชำระผ่านธนาคาร ธ.ไทยพาณิชย์ 114-2-16175-0 ธ.กรุงเทพ 905-0-00725-2 ธ.กรุงไทย 086-037-0-04433-9


หนังสือแจก 8 ม.ค.49


ครั้งเดียวในชีวิต

ผมได้ข้อมูลเรื่องเล่าถึงท่านเจ้าคุณนรฯเรื่องนี้มาจากตอนหนึ่งในหนังสือที่บุคคลท่านหนึ่งพิมพ์เป็นอนุสรณ์อายุครบ๖๐ปี บุคคลท่านนี้ชื่อคุณวิม อิทธิกุล เรื่องมีอยู่ว่าขณะนั้นชื่อเสียงและเกียรติคุณของท่านเจ้าคุณนรฯนั้นเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายหลังจากที่หนังสือพิมพ์หลายฉบับได้ตีข่าวถึงวัตรปฏิบัติและอิทธิปาฏิหารย์เกี่ยวกับท่าน คุณวิมก็เป็นบุคคลหนึ่งที่อยากเข้าไปพบเพื่อกราบนมัสการท่านสักครั้ง รอโอกาสอยู่นานแต่ไม่รู้จะเข้าไปหาท่านได้อย่างไร บังเอิญว่าน้องเขยของคุณวิมทราบเรื่องจึงบอกว่าตัวเองเคยบวชที่วัดเทพฯและอาสาจะพาไปพบท่าน ในวันนั้นซึ่งอยู่ในช่วงกลางปี๒๕๑๓ คุณวิมพร้อมน้องเขยได้ไปรอพบท่านที่โบสถ์วัดเทพฯหลังจากที่ท่านทำวัตรเย็นเสร็จ เมื่อไปถึงได้กราบพระประธานในโบสถ์และนำพวงมาลัยไปสักการะรูปเหมือนของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ อดีตเจ้าอาวาสวัดเทพฯที่เป็นพระอุปัชฌาย์ของท่านเจ้าคุณนรฯแล้วก็ต้องใช้เวลารอประมาณสิบกว่านาทีกว่าพระสงฆ์จะสวดมนต์เสร็จ ภาพแรกของท่านเจ้าคุณนรฯที่จำได้ติดตาคือท่านเป็นคนที่มีรูปร่างสันทัด ผิวพรรณอิ่มเอิบผ่องใส เสียงที่ท่านสวดมนต์ทำวัตรนั้นดังกังวานระรื่นหูเป็นเสียงสวดนำคือในบางบทบางตอนที่ยากๆจะได้ยินเสียงสวดจากท่านเพียงองค์เดียวที่ฟังได้ชัดเจนจับใจยิ่งนัก หลังจากที่พระสงฆ์สวดมนต์เสร็จคณะของคุณวิมได้เข้าไปหาท่านซึ่งท่านก็ยิ้มด้วยความเมตตาเป็นการต้อนรับ ท่านได้นำพวงมาลัยที่เอามาถวายท่านไปบูชาองค์พระประธานเสร็จแล้วท่านได้ถามขึ้นว่า "มีธุระอะไรจ๊ะ"  คุณวิมได้เรียนตอบท่านว่าผมมาที่นี่เพื่ออยากให้ท่านตอบปัญหาธรรมะให้สักข้อ ท่านหยุดนิ่งชั่วขณะก่อนที่จะเอ่ยออกมาด้วยความเมตตาว่า "คุณเรียนมาชั้นไหน" หลังจากที่ได้บอกวุฒิของความรู้ของตัวเองและท่านอนุญาตให้ถามได้แล้วคุณวิมจึงถามขึ้นว่า "อยากจะทราบว่าตัวจิตนั้นมันเป็นตัวอะไร" ท่านเจ้าคุณนรฯได้ตอบเป็นภาษาอังกฤษปนไทยว่า "จิตคือ Though , Good though แปลว่าคิดดี Bad though แปลว่าคิดไม่ดี แต่ต้องระวังอย่าไปปนกับคำว่า Soul ของฝรั่ง ซึ่งมีความหมายไปคนละทาง"  หลังจากนั้นก็เกิดความอัศจรรย์ในหลายครั้งระหว่างการสนทนากล่าวคือไม่ว่าคุณวิมคิดจะถามท่านหรือขอคำแนะนำเรื่องใดเป็นอันว่าไม่ได้อ้าปากถามเพราะท่านจะอธิบายเรื่องที่อยากรู้ขึ้นมาในทันที(ข้อนี้เป็นการบ่งบอกถึงญาณสมาบัติที่ท่านมีได้ด้วยท่านจะต้องสำเร็จในเจโตปริยญาณจึงล่วงรู้วาระจิตของผู้อื่นได้อย่างเป็นแน่แท้) ส่วนใหญ่เรื่องที่ท่านสอนก็จะเป็นเรื่องแนวทางการปฏิบัติว่าให้หาที่สงบเพื่อทำจิตให้เป็นสมาธิ ในการพิจารณาถึงความเป็นจริง คุณวิมจำได้ว่าประโยคที่ท่านย้ำเตือนจนฟังขึ้นใจคือ "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วนะจ๊ะ ขอให้จำไว้"  แม้ว่าการสนทนาธรรมที่บางตอนจะเป็นภาษาอังกฤษล้วน บางส่วนท่านจะแปลศัพท์ธรรมะที่ยากให้หรือย้ำเตือนเป็นพิเศษดังกล่าวจะดำเนินอย่างมีอรรถรสเป็นเวลาหลายชั่วโมงจนไม่รู้สึกหิวข้าวก็ตาม แต่อุปสรรคอย่างหนึ่งที่คอยก่อกวนคือยุงที่มีอย่างชุกชุมในโบสถ์ เป็นเรื่องแปลกที่ไม่มียุงไปกัดท่านเลยในขณะที่ฝ่ายผู้ฟังต้องคอยปัดไล่อยู่เรื่อยๆ คำถามที่สำคัญข้อหนึ่งที่ได้ถามท่านไปมีใจความว่าในการปฏิบัติทางจิตอย่างผมนั้นควรจะใช้วิธีใดดีที่สุด ท่านตอบว่า "อย่างคุณนั้นใช้สติสัมปทาตัวเดียวก็พอถมไป" เรื่องนี้ตอนที่คุณวิมได้ฟังก็รู้สึกงงๆยังไม่เข้าใจในความหมายเพราะคิดว่าท่านน่าจะให้คำตอบเป็นอานาปาณสติหรือไม่ก็วิธีการเจริญสมาธิไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง มากระจ่างแจ้งภายหลังเมื่อได้มีโอกาสถามผู้รู้ที่เป็นอาจารย์ทางพุทธธรรมท่านหนึ่งที่อธิบายว่าท่านเจ้าคุณนรฯท่านเน้นเรื่องตัวสติซึ่งเป็นเรื่องพื้นฐานที่สำคัญมาก เพราะถ้าไม่มีตัวนี้ทำสมาธิแบบไหนก็ไม่มีวันสำเร็จได้ เท่ากับว่าท่านเตือนไม่ให้ประมาท(ซึ่งตรงกับพระปัจฉิมโอวาทของสมเด็จพระบรมศาสดาก่อนจะปรินิพพานที่ประทานให้พระภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย) เมื่อเวลาจวนจะสองทุ่มก่อนที่จะลากลับน้องเขยของคุณวิมได้นำขวดใส่น้ำสะอาดมาถวายให้ท่านทำน้ำมนต์รดให้ ครั้งแรกนั้นท่านก็ตำหนิเอาว่าบวชเรียนรู้ธรรมมาก็แล้วยังมาขอน้ำมนต์ ดูเป็นเรื่องของคนใจอ่อนแอต้องหาที่พึ่ง แล้วท่านก็หันมาถามคุณวิมว่า "แล้วคุณล่ะ คุณเชื่อน้ำมนต์ไหม"  คุณวิมได้กราบเรียนกับท่านไปว่า "กระผมคิดว่าดี สิ่งใดที่เป็นของดี ของบริสุทธิ์ ชาวบ้านเขาเชื่อถือก็ขอให้เขาได้ยึดเอาไว้เป็นที่พึ่งเถิด ดีกว่าไปเชื่อผีสางนางไม้หรือคอมมิวนิสต์"  ท่านพยักหน้าอย่างพอใจเหมือนว่าเห็นด้วยในความคิดแล้วจึงรับเอาขวดน้ำมนต์ไปไว้ในมือโดยมิได้มีการบริกรรมด้วยคาถาเหมือนพระอาจารย์องค์อื่นเพราะท่านแค่ประคองไว้ในมือและหลับตาเข้าสมาธิเพียงชั่วครู่เท่านั้น(คุณวิมเคยตั้งข้อสังเกตว่าการปลุกเสกวัตถุมงคลของท่านไม่เหมือนใคร ได้ถามกับเจ้าคุณอุดมผู้สร้างวัตถุมงคลถวายให้ท่านอธิษฐานจิตได้ความว่าเหรียญของท่านรุ่นหนึ่งไม่ได้ใช้เวลาในการบริกรรมปลุกเสกนานแต่อย่างใด เพียงท่านนั่งหลับตาเอามือแตะเหรียญในพานอยู่ชั่วครู่เท่านั้น ความศักดิ์สิทธิ์ยังเป็นที่ประจักษ์แก่ผู้ที่ได้ไปบูชา) เมื่อท่านลืมตาขึ้นได้เรียกผู้ที่อาวุโสที่สุดเข้าไปก่อนซึ่งก็คือคุณวิมนั่นเอง ท่านให้นั่งพนมมือลืมตาเงยหน้าอ้าปากเมื่อท่านหยอดน้ำมนต์แต่ละอึกก็ให้ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์ตามลำดับ คุณวิมสังเกตเห็นก้อนเนื้อที่คอท่านซึ่งบวมออกมาเป็นก้อนจึงถามท่าน ท่านว่าหมอตรวจพบก้อนนุ่มๆอยู่ภายใน แนะนำให้ผ่าตัดออกเพราะเป็นเนื้อร้ายหรือที่เรียกกันว่ามะเร็ง ท่านว่า "จะไปทำมันทำไม Death is my friend อันความตายนั้นไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวอะไรเลยเหมือนกับพวกคุณกลับจากที่ทำงานแล้วก็เปลี่ยนเสื้อผ้า"  ท่านยังเล่าให้ฟังถึงสมเด็จพระอุปัชฌาย์และโยมที่บ้านซึ่งเป็นห่วงในเรื่องนี้ ท่านจึงให้ช่างไม้ต่อโลงไว้ให้หนึ่งใบแต่แล้วบุคคลที่มีพระคุณที่เป็นห่วงท่านกลับสิ้นบุญไปก่อน เมื่อคุณวิมกราบลาท่านและบอกว่าโอกาสหน้าผมจะมาหาท่านใหม่ ใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความกรุณาปราณีนั้นกลับตอบอย่างยิ้มๆว่า "โอกาสหน้าไม่มีอีกแล้วไม่ต้องมาหรอก"  และก็เป็นดั่งที่ท่านได้พูดไว้จริงๆเพราะนั่นเป็นโอกาสดีครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของคุณวิมจริงๆ ที่มีโอกาสได้กราบนมัสการและได้รับการกรอกน้ำมนต์จากมือท่านธมฺมวิตกฺโก  "พระอรหันต์เจ้าแห่งป่าคอนกรีต"

อ้างอิงจากหนังสือครบอายุ๖๐ปี อนุสรณ์จากวิม อิทธิกุล ๒๕๒๐

                                       """""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
ชี้ชะตาโลกล่วงหน้า

ข่าวนี้ผมได้มาจากหนังสือพิมพ์เก่าในปี๑๘ จึงขอคัดลอกมาบันทึกไว้ให้ได้อ่านกันดังนี้ครับ ข่าวนี้ลงหน้าหนึ่งพร้อมภาพท่านเจ้าคุณนรฯนั่งพับเพียบที่เป็นท่านั่งเอกลักษณ์ของท่านไว้ว่า "เจ้าคุณนรฯชี้ชะตาโลกล่วงหน้าถูกต้องอย่างมหัศจรรย์" เนื้อข่าวก็มีอยู่ว่า...รู้แม้ด้านตะวันออกกลางว่าถนนมิตรภาพจะเป็นพังพาบ เผยอำนาจจิตของท่านเจ้าคุณนรฯหยั่งรู้สถานการณ์และความเป็นไปของโลกและประเทศไทยในอนาคตที่ "รวมไทย" ได้ค้นพบอีกประการหนึ่งซึ่งยังไม่เคยปรากฏว่ามีใครทราบมาก่อน เป็นปรากฏการณ์อันน่ามหัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง จากการสืบทราบของ "รวมไทย" ว่าก่อนที่พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิตแห่งวัดเทพศิรินทราวาสหรือที่เรียกกันติดปากโดยทั่วไปว่า "เจ้าคุณนรฯ"  จะถึงแก่กาลมรณภาพคือประมาณปลายเดือนธันวาคม๒๕๑๓ ได้มีผู้เข้าไปพบและสนทนากับท่านในโบสถ์วัดเทพฯ ซึ่งท่านมักเปิดโอกาสให้ผู้มีศรัทธาถวายสักการะได้ภายในบริเวณโบสถ์เป็นประจำ แต่หากว่าท่านกลับกุฏิแล้วจะไม่ยอมรับแขกเลยจะปิดประตูเงียบ ดังนั้นถ้าใครอยากจะพบก็ต้องไปคอยดักพบที่โบสถ์ดังกล่าว มีอยู่วันหนึ่งเป็นวันพุธปลายเดือนธันวาคม๑๓ คณะที่เข้าถวายสักการะซึ่งเป็นคณะศิษย์ที่ใกล้ชิดมากประกอบด้วยปลัดโกศล และคุณจำเนียร ปัทมะสุนทร (หลานชายและหลานสะใภ้) น.ท.วรสนธิ วรเสียงสุขา ร.อ.ชลิต ชัยสิทธิเวช พ.ต.นพ.ไพบูลย์ บุษปะธำรงค์และ ร.อ.ประยูร คณานนท์ เป็นต้น วันนี้ท่านเจ้าคุณนรฯผู้ซึ่งคนนับหมื่นนับแสนคนที่เชื่อมั่นว่าท่านสำเร็จเป็นพระอรหันต์ รู้จักกิตติคุณและให้ความเคารพศรัทธาในท่านกันเป็นอย่างมากดังกล่าวภายหลังจากทำวัตรเย็นแล้ว ก็ให้โอกาสแก่ผู้ที่จะมาถวายสักการะเช่นเคย เมื่อท่านได้ให้ธรรมะแก่ทุกๆคนแล้วได้พูดต่อไปถึงเหตุการณ์บ้านเมืองว่า "ประเทศไทยจะมีการปฏิวัติเกิดขึ้นในปี๒๕๑๔หน้านี้ แต่จะไม่มีการเสียเลือดเนื้อเกิดขึ้น"  ต่อมาในปีดังกล่าว(ท่านมรณภาพแล้ว)ก็ได้เกิดปฏิวัติขึ้นจริงๆเป็นปฏิวัติเงียบคือจอมพลถนอมทำการปฏิวัติตัวเองโดยไม่มีการเสียเลือดเนื้อนั่นคือข้อหนึ่ง ในส่วนเหตุการณ์รอบๆบ้านท่านได้กล่าวว่า "ประเทศเพื่อนบ้านของเราต่อไปนี้จะมีเรื่องน่าสมเพชน่าทุเรศเกิดขึ้น"  ก็ปรากฏเหตุการณ์ในลาว-เขมรดังที่เราๆท่านๆได้ทราบข่าวคราวกันมาโดยตลอด มีการสังหารหมู่กันเป็นพันเป็นหมื่นคนมีการตัดคอทื้งจับแก้ผ้ายิงอย่างน่าทุเรศจริงๆ จนชาวลาวและเขมรต้องหนีเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในไทย ยอมละทิ้งบ้านเกิดเมืองนอนของตนแล้วนี่ก็เป็นอีกข้อหนึ่ง ท่านได้พูดถึงปัญหาตะวันออกกลางซึ่งหมายถึงประเทศอิสราเอลกับกลุ่มประเทศอาหรับ ตอนนั้นมีทีท่าจะบานปลายไปกันใหญ่ว่า "ตะวันออกกลางเขาไม่มีอะไรมาก ในที่สุดเขาก็จะตกลงกันได้ สามารถจะพูดกันรู้เรื่อง แต่เหตุการณ์รอบๆบ้านเรานี่สิน่าจะวิตก เพราะประเทศเขมรจะเป็นผู้จุดชนวนสงครามขึ้นในประเทศแถบนั้น ทำให้เกิดสงครามใหญ่โต"  ซึ่งคำพูดเหล่านี้พูดไว้ตั้งแต่ปลายปี๑๓ นับถึงบัดนี้ก็เข้า๕ปีแล้วทุกอย่างล้วนมีเค้าแห่งความจริงทั้งสิ้น ท่านได้พูดถึงถนนมิตรภาพอันมีสัญญลักษณ์การจับมือกันอย่างแนบแน่นระหว่างประเทศไทยกับอเมริกันที่ทางแยกสระบุรีว่า "ถนนมิตรภาพต่อไปจะเป็นถนนพังพาบ" จากคำพูดอันนั้นไม่กี่ปีต่อมาประเทศอเมริกันถูกเหยียบย่ำในประเทศไทยอย่างไม่เคยปรากฏมีมาก่อน จนต้องถอนทหารออกไปจากไทยเป็นทิวแถว ต้องพ่ายแพ้ต่อสงครามในญวน ลาวและเขมรด้วย แบบ "พังพาบ" ทีเดียว นอกจากนี้ท่านยังได้พูดถึงประเทศจีนบนผืนแผ่นดินใหญ่ว่า "เราอย่าไปดูถูกเขานะต่อไปเราจะต้องคบกับเขา แล้วเขานั่นแหล่ะจะช่วยเรา"  คำพูดประโยคนี้สำหรับเวลานั้นดูไม่มีทีท่าเลยแม้แต่น้อยว่าจะเป็นไปได้เพราะใครไปประเทศจีนแดงตอนนั้นจะถูกตั้งข้อหาเป็นพวกคอมมิวนิสต์ สินค้าจีนแดงก็มีไม่ได้ในประเทศไทย ขณะนั้นจอมพลถนอมเป็นนายกฯคำพูดประโยคหลังของท่านนี้ทำให้ผู้รับฟังคนหนึ่งซึ่งตอนนั้นยังไม่รู้จักท่านเพียงพอ พอเสร็จสิ้นการสนทนาลุกออกจากโบสถ์กันไปแล้วผู้ฟังผู้นี้ได้พูดกับเพื่อนที่มาด้วยกันว่า "สงสัยพระองค์นี้จะเป็นคอมมิวนิสต์"  ทว่าเดี๋ยวนี้เขานับถือท่านเป็นที่สุดชนิดพูดถึงชื่อท่านแล้วจะต้องยกมือขึ้นประณมท่วมหัวเพื่อขอขมาทุกครั้ง ก็เพราะต่อมาสิ่งที่ไม่คาดฝันได้เกิดขึ้นคือ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช มาได้เป็นนายกฯและได้เดินทางไปผูกสัมพันธไมตรีกับประเทศจีนแดงถึงโน่น ได้รับการต้อนรับอบอุ่นเกินความคาดหมายจนเป็นข่าวเกรียวกราวไปทั่วโลก สถานการณ์รอบบ้านเรากลายเป็นประเทศรัสเซียหนุนหลังประเทศเพื่อนบ้านให้รุกรานไทย แต่ประเทศจีนแดงกลับคอยช่วยกันช่วยขวางให้ไทย อนึ่ง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ผู้นี้เคยเขียนเรื่องเกี่ยวกับท่านไว้ในหนังสือพิมพ์สยามรัฐตอนต้นปี๑๔หลังท่านมรณภาพได้ไม่นานว่าเคยได้ข่าวคนเขาลือกันว่าท่านสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วบังเอิญได้พบท่านที่วัดเทพฯ อาศัยที่เคยรู้จักกับท่านมาตั้งแต่สมัยครั้งยังเป็นมหาดเล็กหลวงเป็นเวลากว่า ๕๐ ปีแล้ว ดังนั้นจึงกล้าถือวิสาสะกรากเข้าไปกราบเรียนถามท่านเอาดื้อๆว่า "เขาลือกันว่าใต้เท้าสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วจริงหรือครับ"  ปรากฏว่าท่านดึงหู ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ เข้าไปใกล้ๆและกระซิบว่า "ไอ้บ้า"

เนื้อข่าวจากหนังสือพิมพ์รวมไทย ปีที่๒ ฉบับที่๖๙ วันที่ ๒๐-๒๖ ธันวาคม ๒๕๑๘

                                    """""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
 
พบพระอรหันต์กลางกรุง

เมื่อประมาณ พ.ศ. 2500-2513 เป็นช่วงที่หนังสือประเภทแวดวงพุทธจักรยังไม่มีเกลื่อนกลาด คงมีแต่ นสพ. "บางกอกไทม์" ฉบับเดียวที่เสนอข่าวด้านนี้และผมซึ่งเป็นนักข่าวเฉพาะกิจจึงมีโอกาสสัมผัสกับท่านเจ้าคุณนรฯบ่อยครั้ง เคยเผชิญทั้งสิ่งอัศจรรย์และของขลังจากพระคุณท่านบ่อยที่สุด ผมถูกมอบหมายจากท่านเจ้าคุณอุดมฯให้เขียนประวัติชีวิต ธมฺมวิตกฺโกภิกขุ หลังจากท่านมรณภาพวันเดียวเท่านั้นและยังเป็นคนแรกที่เขียนอีกด้วย ก่อนที่ชื่อเสียงของท่านจะขจรขจายออกนอกกำแพงวัดไปทั่วนั้นผมจำได้ว่าเมื่อ พ.ศ. 2505 กรมการรักษาดินแดนได้จัดสร้างเหรียญ ร.6 ขึ้นและจัดพิธีพุทธาภิเษกโดยนิมนต์เกจิอาจารย์ชื่อดังเข้าร่วมปลุกเสกโดยคณะกรรมการยังได้นิมนต์ ธมฺมวิตกฺโกภิกขุ วัดเทพศิรินทร์ เนื่องจากท่านเป็นผู้ที่จงรักภักดีต่อ ร.6 อย่างมาก แม้ว่าท่านจะปฏิเสธด้วยไม่ยอมออกนอกวัดแต่ท่านได้บอกทางคณะกรรมการว่า "อาตมาจะขอนั่งปรกปลุกเสกอยู่ในกุฏิเพื่อส่งกระแสจิตร่วมในครั้งนี้จนกระทั่งเสร็จพิธี" ผมจึงประโคมข่าวนี้ให้ประชาชนทราบและปรากฏว่ามีคลื่นมหาชนเดินทางมาสั่งจองเหรียญกันเกินความคาดหมาย ผมยังเขียนข่าวเรื่อง ธมฺมวิตกฺโกภิกขุ ถอดกายทิพย์ไปปรากฏตัวและรักษาโรคให้ชาวอเมริกันรวมทั้งปรากฏตัวให้เห็นตามบ้านต่างๆอีกด้วย จากนั้นชื่อเสียงของท่านก็ดังระเบิดจนเป็นที่รู้จักทั่วประเทศ คราวนี้เดือดร้อนที่จะต้องเข้าพบกับท่านเพื่อขอสัมภาษณ์ข้อเท็จจริงเพราะข่าวที่เขียนไปนั้นมาจากคำบอกเล่าของผู้อื่นทั้งสิ้น การพบท่านนับว่าลำบากพอดูเพราะจะพบได้หลังทำวัตรเช้า - เย็นเท่านั้น แต่ญาติโยมก็ไปดักพบเต็มไปหมดทำให้หาโอกาสคุยได้ยาก ผมกับคุณ วงศ์ แววงาม ที่เป็นช่างภาพ จึงไปดักพบตอนเช้าที่บริเวณโบสถ์ก่อนที่ท่านจะมาลงทำวัตรเช้า ผมให้คุณวงศ์ไปดักถ่ายรูปบนระเบียงโบสถ์ ส่วนผมดักพบตรงประตูเข้าบริเวณโบสถ์ได้จังหวะพอดิบพอดีกับมุมกล้องทีเดียว (ภาพที่ได้มาคือภาพหน้าปกของหนังสือที่ท่านถืออยู่เล่มนี้) เมื่อท่านเดินเข้าประตูมาผมรีบเข้าประชิดตัวทันทีพร้อมกับคารวะท่านแล้วจึงถามคำถามที่เตรียมไว้โดยไม่รีรอ "ผมอยู่ นสพ.บางกอกไทม์ อยากจะมาเรียนถามพระคุณเจ้าเรื่องการถอดกายทิพย์ได้จริงหรือไม่ครับ"  "ขอทีเถอะอาตมาไม่อยากให้มีเรื่องอื้อฉาว" ท่านตอบคำถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสแต่ก็ไม่ยอมหยุดคุยท่านยังคงเดินไปเรื่อยๆอย่างเชื่องช้า ผมถามท่านอีกหลายประโยค ท่านไม่ตอบได้แต่อมยิ้มจนกระทั่งประโยคสุดท้ายก่อนที่จะขึ้นบันไดโบสถ์ ผมถามท่านว่า "เพราะเหตุใดจึงคิดบวชไม่ยอมสึก" ท่านตอบว่า "อาตมาเคยมีความสุขสุดยอดมาแล้ว ก็อยากจะขอใฝ่หาความสงบในด้านนี้ดูบ้าง" ผมกลับโรงพิมพ์พาดหัวข่าวเลยครับ "พบพระอรหันต์กลางกรุง" ขยายรูปตอนเดินสัมภาษณ์ขนาดใหญ่เพราะอิริยาบทของท่านไม่เหมือนพระภิกษุทั่วไป เท้าไม่แตะพื้น ใบหน้ายิ้มอยู่ตลอดเวลา ต่อมาเมื่อท่านเจ้าคุณอุดมฯได้ดำริจะสร้างโบสถ์วัดวังกระโจมจึงขอความอนุเคราะห์ให้ท่านอธิษฐานจิตลงในพระเครื่องให้ นับแต่นั้นเป็นต้นมาพระเครื่องเจ้าคุณนรฯจึงมีชื่อเสียงไปทั่วราชอาณาจักร เมื่อพระมหาสงัดจะสร้างโบสถ์ให้วัดต่างจังหวัด ก็ขออนุญาตสร้างรูปเหมือนด้านข้างครึ่งองค์จึงสามารถสร้างโบสถ์สมปรารถนา ต่อมาใคร่จะสร้างอะไรต่ออีกผมก็จำไม่ได้ ท่านให้โยมอุปัฏฐากมาขอให้ผมทำข่าวให้ ผมบอกไปว่าการทำข่าวก็ต้องมีใครเป็นข่าว โยมอุปัฏฐากบอกว่ามีข่าวเกี่ยวกับท่านธมฺมวิตกฺโกภิกขุที่น่าสนใจมาก ผมจึงบอกว่าผมต้องการถ่ายภาพท่านมาประกอบข่าว ผมจึงเดินทางไปถ่ายภาพขณะลงทำวัตรเย็นในโบสถ์วัดเทพฯ ถ้าจำไม่ผิดท่านนั่งทำวัตรอยู่แถวริมที่3 นับจากข้างหน้าแถวที่หนึ่งด้านซ้ายมือของพระประธาน ผมกราบพระประธานแล้วยกกล้องจ้องไปหาโฟกัสที่ท่านทันที ท่านธมฺมวิตกฺโกภิกขุหันมาจ้องกล้องผมตาเขม็งเหมือนกับส่งกระแสจิตมาบังคับ ผมไม่ได้กดชัตเตอร์ครับเพราะเหมือนไฟฟ้าช็อตที่มือเมื่อผมกดถูกปุ่มชัตเตอร์ ผมเหงื่อแตกทันทีรีบลดกล้องกราบพระประธานแล้วออกจากโบสถ์ในบัดดลนั่นเอง การที่ผมนำเอาเหตุการณ์ต่างๆที่ผมได้สัมผัสกับท่านมาเสนอให้ทราบ ก็เพื่อจะให้คุณผู้อ่านได้ทราบว่าผมได้สัมผัสกับท่านมาแล้วจริงๆครับ


ดัดแปลงจากเรื่องรอยพระบาทเจ้าคุณนรฯก่อปาฏิหารย์ เขียนโดยคุณบรรจง มีแสงพราว ตีพิมพ์ลงในนิตยสาร ศักดิ์สิทธิ์ ปีที่ 2 ฉบับที่ 32 วันที่ 30 มิถุนายน 2527   

                                 """""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

ไม่นับถือท่านแล้วจะให้ไปนับถือใคร

นี่เป็นหนึ่งในความมหัศจรรย์ของท่านอีกเรื่องหนึ่งที่ได้รับรู้มาจากคุณกิตติ ลี้วัฒนานนท์ (ลูกศิษย์คนใกล้ชิดของเจ้าคุณอุดมฯซึ่งเคยได้รับน้ำมนต์และหนังสือสันติวรบทจากมือท่านเจ้าคุณนรฯ) ก่อนอื่นนั้นเพื่อความสะดวกขออ้างอิงถึงคุณกิตติด้วยการเรียกแทนว่าเจ็กโย เรื่องนี้ถ้าจะบอกว่าเป็นประสบการณ์ส่วนตัวของเจ็กโยก็คงจะไม่ผิดเพราะเป็นเรื่องหนึ่งที่ท่านเจ้าคุณนรฯทำนายไว้และเป็นจริงตามนั้น(รวมทั้งเป็นการยืนยันถึงความเป็นอริยสงฆ์ผู้สำเร็จในอภิญญาอนาคตตังสญาณที่ว่าสามารถล่วงรู้อนาคตกาลได้เป็นอย่างดี) เรื่องของเรื่องก็มีอยู่ว่าสมัยนั้นบ้านเจ็กโยอยู่แถวละแวกนั้นห่างจากวัดแค่เอื้อมและทำงานอยู่อู่กรุงเทพรวมช่างของคุณโหน่งดำดีเซลที่ได้เช่าพื้นที่ของวัดบริเวณสุสานหลวงเพื่อทำอู่ซ่อมรถ หลังจากการเข้ามาที่วัดเทพฯเจ็กกับเพื่อนๆได้รู้จักเจ้าคุณอุดมฯและได้มีโอกาสกราบท่านเจ้าคุณนรฯโดยฝากตัวเป็นกลุ่มศิษย์ที่ใกล้ชิดร่วมกับคุณการุณย์ เหมวนิชและเป็นกลุ่มที่ช่วยเหลือกิจการงานกุศลต่างๆที่ทางวัดจัดขึ้นนับจากวันนั้นวันที่คนทั่วไปยังไม่ค่อยรู้จักในเกียรติคุณของท่านเสียด้วยซ้ำ เจ็กได้เกิดความศรัทธาในจริยาวัตรของท่านเป็นอย่างมากประกอบกับประสบในอภินิหารหลายๆเรื่องของท่านซึ่งจะไม่ค่อยได้เล่าให้ใครฟังถ้าไม่มีคนถามเพราะอย่างที่รู้กันอยู่ว่า "พระแท้" อย่างท่านไม่จำเป็นต้องโฆษณาถึงความมหัศจรรย์ที่เหลือเชื่อจนเอิกเกริกทุกวันนี้สาธุชนที่ศรัทธาในท่านก็มีจำนวนมากมาย เจ็กได้มีโอกาสพาภรรยามากราบนมัสการท่านบ่อยๆซึ่งมักจะเป็นเวลาหลังที่ท่านทำวัตรเย็นเสร็จโดยจะต้องดักรอที่ทางเดินประจำเพราะท่านจะเดินระหว่างโบสถ์กับกุฏิเร็วมากจุดที่จะรอท่านจะเป็นที่ประตูโบสถ์ท่านจะเข้าออกพระอุโบสถที่ประตูด้านหลังข้างซ้าย(ซ้ายมือเราเวลาหันหน้าเข้าหาตัวโบสถ์ที่เป็นด้านหลัง) ครั้งหนึ่งที่ท่านเมตตาหยุดเดินเพื่อคุยด้วยเมื่อท่านถามถึงเรื่องลูกว่าขณะนั้นมีลูกสาวหนึ่งคนแล้ว ท่านถามกับว่าอยากได้ลูกชายไหม? เป็นธรรมดาของคนไทยเชื้อสายจีนย่อมอยากได้ลูกชายไว้สืบสกุลตามธรรมเนียม เจ็กตอบท่านไปว่าอยากได้ครับ ท่านบอกกับเจ็กว่า "ลูกคนต่อไปที่จะเกิดมาจะได้ลูกชายอย่างที่อยากได้" แถมท่านยังแนะว่าเวลาที่ตั้งครรภ์ให้นำดอกบัวบูชาพระมาแช่น้ำดื่มให้ภรรยากินเพื่อให้คลอดบุตรง่าย (เรื่องนี้ไปพ้องกับเรื่องดอกบัวขาว-ชมพูที่ใช้ขอลูกชายหรือลูกสาวซึ่งหาอ่านได้ในหนังสือตามรอยฯ แต่เป็นคนละที่มากันนะครับ) หลังจากนั้นไม่นานภรรยาของเจ็กก็ตั้งครรภ์ จนกระทั่งเมื่อใกล้ครบกำหนดคลอดเจ็กได้พาภรรยามารอกราบท่าน ณ ประตูโบสถ์ตรงที่เคยรอท่านเพื่อความเป็นสิริมงคลกับลูกที่จะเกิดมาในอนาคตอันใกล้แต่คราวนี้มารอก่อนที่ท่านจะลงทำวัตรปรากฎว่าท่านเดินมาอย่างรวดเร็วเช่นเคยขณะที่ท่านก้าวเข้าไปในโบสถ์แล้วท่านได้หยุดและหันกลับมาทักและชี้นิ้วมากำชับด้วยว่า "ผู้ชายนะ เป็นผู้ชาย"  ก่อนวันวิสาขบูชาในปี๑๓ไม่นาน(วันวิสาขบูชาตรงกับวันที่๑๙พฤษภาคมจะมีภาพที่คุ้นตาภาพหนึ่งเป็นอิริยาบทขณะที่ท่านเดินเวียนเทียน) เจ็กก็ได้ลูกชายสมใจ "ดังคำทำนายของท่านเจ้าคุณนรฯ" ในช่วงที่งานยุ่งพอดีจึงไม่ได้ไปเฝ้าภรรยาที่โรงพยาบาล(ด้วยความเป็นห่วงก่อนหน้านั้นเจ็กได้เรียนถามกับท่านแต่ท่านบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง ไม่มีอะไรที่ต้องกังวล) ที่สำคัญเด็กชายคนนี้ได้รับการตั้งชื่อจากท่านเจ้าคุณนรฯ (ที่จริงเจ็กมีชื่อที่อยากตั้งไว้ในใจแล้วแต่เมื่อกราบเรียนท่านไปท่านเห็นว่าไม่เหมาะเลยเปลี่ยนโดยตั้งให้ใหม่) มีเรื่องต่อมาภายหลังอีกนิดหน่อยว่าในคืนวันที่ ๗ มกราคม ๒๕๑๔ลูกสาวและลูกชายของเจ็กซึ่งขณะนั้นเป็นเด็กเล็กทั้งคู่ได้ร้องงอแงอย่างน่าประหลาดใจเพราะจะว่าป่วยไข้ก็ปกติดีไม่ได้เป็นอะไรและแต่ไหนแต่ไรมาทั้งคู่ก็เป็นเด็กที่เลี้ยงง่ายไม่เคยกวนมาโดยตลอด รุ่งเช้าความสงสัยแปลกใจก็เป็นที่ประจักษ์เมื่อตอนสายของวันนั้น วันที่๘ มกราคม ๒๕๑๔เกิดความสะเทือนใจและโศกเศร้าไปในหมู่ชาวพุทธเมื่อ ท่าน ธมมฺวิตกโกภิกขุ "พระอรหันต์กลางกรุง" ซึ่งเป็นที่นับถือของสาธุชนทั่วประเทศได้มรณภาพดับขันธ์ ไปสู่ภูมิที่ท่านปรารถนาไว้ "ดินแดนแห่งพระนิพพาน"  ท้ายที่สุดนี้ขอยกคำพูดของท่านมาไว้เป็นอนุสรณ์เตือนใจให้เป็นตัวอย่างในการประพฤติเพื่อเข้าหาหลักแท้ที่พระพุทธเจ้าได้สอนไว้ ท่านพูดไว้ว่า " This life is the last"

                                                  """""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
เรื่องเล่าจากพระเถระที่ท่านรักเหมือนน้อง

ถ้าท่านเคยอ่านหนังสือเรื่องราวประวัติของท่านเจ้าคุณนรฯท่านน่าจะได้ผ่านตาชื่อของพระเถระในวัดเทพฯรูปหนึ่งที่ชื่อว่าพระมหาอำพัน บุญ-หลงแห่งคณะ น.3 อยู่บ้าง ถ้าจะถามว่าความสัมพันธ์ของพระเถระทั้ง2รูปนี้เป็นอย่างไรนอกจากบวชอยู่ที่วัดเดียวกันเป็นศิษย์ในพระอุปัชฌาย์เดียวกันแล้วผมขอเล่าให้ฟังคร่าวๆว่าพระมหาอำพันนี้บวชที่วัดเทพฯในระยะเวลาก่อนท่านเจ้าคุณนรฯประมาณ9เดือน มีความเคารพนับถือในองค์พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรณ์เป็นอย่างมากตั้งแต่สมัยเป็นฆราวาสเหมือนที่ท่านเจ้าคุณนรฯก็นับถือพระแก้วมรกตมาตั้งแต่รับราชการอยู่ในวังเช่นกัน เหตุการณ์ที่เด่นชัดที่สุดน่าจะเป็นช่วงที่เกิดภาวะสงครามโลกครั้งที่2 ผู้คนในละแวกหัวลำโพงทั้งพระเถระในวัดย่านนั้นรวมถึงวัดเทพฯต้องอพยพลี้ภัยไปพำนักที่อื่นเนื่องจากหัวลำโพงเป็นจุดยุทธศาสตร์ของการทิ้งระเบิด อย่างที่ทราบล่ะครับก็มีท่านเจ้าคุณนรฯนี่ล่ะที่มีใจเด็ดเดี่ยวมองเห็นความตายเป็นเรื่องธรรมดาแม้เห็นเครื่องบินที่มาทิ้งระเบิดท่านยังทักออกไปด้วยความเป็นมิตรว่า "Do you kill me,my friend?" ท่านเจ้าคุณนรฯยังคงพำนักและเจริญสมณธรรมด้วยความเพียรอยู่ในกุฏิ ก.5 ต่อไปอย่างไม่ลดละในตอนกลางคืนก็ลงไปจำวัดในโลงศพที่ใช้พิจารณามรณกรรมฐานเพื่อที่ว่าเกิดพลาดพลั้งโดนระเบิดเข้าคนที่เก็บศพท่านจะได้ไม่ลำบาก พูดถึงการลงทำวัตรสวดมนต์อันเป็นกิจวัตรของสงฆ์นั้นท่านก็กระทำอย่างเคร่งครัด(แม้ว่าจะโดนงูกัดหรือเจ็บไข้ได้ป่วยก็พยายามไม่ให้ขาดได้) พระเถระอีกรูปที่ลงโบสถ์ทำวัตรสวดมนต์ด้วยกันในตอนนั้นก็มีพระมหาอำพันนี่ล่ะครับ จากหนังสือที่ระลึกงานศพและหนังสือครบรอบ๑๐๐ปีท่านมหาอำพันที่ผมเคยได้อ่านมีเรื่องที่เล่าถึงท่านเจ้าคุณนรฯอยู่มากทีเดียวครับจึงอยากเล่าต่อให้ได้ฟังกัน พระมหาอำพันนับถือพระเถระที่เป็นครูบาอาจารย์อยู่๓รูปคือสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(สมเด็จพระอุปัชฌาย์) ท่านธมฺมวิตกฺโกและหลวงพ่อฤาษีลิงดำแห่งวัดท่าซุง กล่าวถึงท่านเจ้าคุณนรฯแล้วพระมหาอำพันยกย่องด้วยความเลื่อมใสว่าเป็นแบบอย่างแห่งการปฎิบัติเพราะเป็นพระเถระที่แม้พำนักอยู่ใจกลางกรุงแต่มีปฏิปทาที่ยากจะทำได้เหมือนไม่นับเรื่องปาฏิหารย์ที่เล่ากันไม่รู้จบ ลูกศิษย์ลูกหาที่มาพบท่านจะให้ไปกราบขอโอวาทจากท่านเจ้าคุณนรฯเพื่อความเป็นสิริมงคลกับตัว แม้เมื่อท่านเจ้าคุณนรฯได้ดับขันธ์มรณภาพไปแล้วทุกครั้งที่มีลูกศิษย์มาเยี่ยมเยียนท่านต้องให้ไปไหว้ที่อนุสาวรีย์ท่านเจ้าคุณนรฯ ท่านว่า "มาวัดเทพฯต้องไปไหว้ท่านเจ้าคุณนรฯ ของดีวัดเทพฯนะ" ตัวท่านเองเวลาเดินผ่านมณฑปเก็บอัฐิ กุฏิท่านเจ้าคุณนรฯ หรือทุกแห่งหนที่มีรูปจำลองของท่านเจ้าคุณนรฯประดิษฐานอยู่ท่านจะต้องหยุดเพื่อแสดงการคารวะด้วยความนอบน้อมทุกครั้งไปและในทุกวันศุกร์ที่เป็นวันมรณภาพของท่านเจ้าคุณนรฯท่านจะต้องทำสังฆทานอุทิศให้ท่านเจ้าคุณนรฯผู้เป็นทั้งสหธรรมิกและครูบาอาจารย์ต่อเนื่องกันเป็นประจำ ในด้านกิจวัตรประจำวันทางโลกสิ่งที่ได้รับมาจากการสอนของท่านเจ้าคุณนรฯคือเรื่องการทำความสะอาดร่างกายหลังตื่นนอนตอนเช้า ท่านเจ้าคุณนรฯใช้วิธีอมเกลือเอานิ้วถูเหงือกเป็นการทำความสะอาดปากและรักษาฟัน ท่านว่าน้ำยาฝรั่ง(ยาสีฟัน)นั้นมันเป็นสารเคมีที่แรงเกินไปมักจะกัดปาก สู้ของธรรมชาติแบบเกลือไม่ได้คิดดูสิขนาดปลาเค็มที่ใช้เกลือถนอมไว้ยังไม่เน่าเลย นอกจากนี้ก็เป็นการล้างตาและบริหารตาด้วยการลืมตาในน้ำสะอาดทุกๆเช้า(ท่านเจ้าคุณนรฯไม่ใช้น้ำประปาแม้ว่าหลายกุฏิจะมีการต่อท่อไปแล้ว ท่านว่าน้ำฟ้านี่ล่ะดีที่สุดใช้ได้ทั้งอุปโภคบริโภคและพิจารณาจากความเป็นจริงของสภาพแวดล้อมจะพบว่าสมัยนั้นในเมืองหลวงแห่งนี้ยังไม่มีมลพิษเท่าที่ควร) นี่เป็นตัวอย่างของมรดกทางการปฏิบัติทางโลกที่พระมหาอำพันได้รับมาจากการสอนของท่านเจ้าคุณนรฯ ในด้านทางธรรมนั้นมีหลายเรื่องด้วยกันอย่างเรื่องพื้นฐานง่ายๆคือความกตัญญูกตเวที พระมหาอำพันท่านนำไปใช้สอนลูกศิษย์ตามคำสอนของท่านเจ้าคุณนรฯที่ว่าเกิดเป็นคนต้องมีความกตัญญูต่อบุพการีและผู้ที่มีพระคุณ หากขาดคุณธรรมข้อนี้แล้วก็ไม่ต่างอะไรจากหมา ท่านยังพูดเป็นคำภาษาจีนเลยว่า "เกิดเป็นคนต้องเกียวห่าวนะ" ครั้งหนึ่งมีนายทหารเดินทางมาหาเพื่อขอคำแนะนำเรื่องการดำเนินชีวิตในหน้าที่การงาน พระมหาอำพันได้พาไปกราบท่านเจ้าคุณนรฯและก็ได้รับโอวาทปริศนาธรรมมาให้ขบคิดว่า "ต้นไม้ใหญ่โคนต้องเย็น" ในเรื่องนี้นั้นท่านสอนว่าให้มีความเมตตากรุณาปราณีต่อบริวารผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาเนื่องจากการเป็นนายคนถ้าลูกน้องมีความสุขความพึงพอใจในการปฏิบัติหน้าที่การงานแล้วย่อมจะส่งผลให้ผู้บังคับบัญชามีความเจริญก้าวหน้าเติบโตในหน้าที่การงานต่อไป ดุจดังเวลาเราปลูกดอกไม้สักต้นเราต้องเอาฟางมาสุมรอบๆโคนไว้กักเก็บความชุ่มชื้นจากหยดน้ำ ดอกไม้นั้นก็จะงอกงามออกดอกสดสวยเป็นที่เจริญตาเจริญใจ ในเรื่องคุณธรรมข้อที่ว่าความขันติคือการอดทนอดกลั้นนั้นท่านเจ้าคุณนรฯแสดงออกมาทางการปฏิบัติไม่ว่าจะเป็นการนั่งทนยืนทนและที่สำคัญที่สุดคือทุกขเวทนาจากโรคาพยาธิที่ร้ายแรงที่สุดคือก้อนเนื้อมะเร็งร้ายขนาดเท่าไข่เป็ดที่ลำคอของท่าน ซึ่งท่านเรียกของท่านว่าฝีสบายคือแตกเมื่อไหร่ท่านก็ไปสบายแน่ ตั้งแต่ก้อนเนื้อที่ผุดขึ้นจากการอธิษฐานของท่านว่ารู้สึกเหมือนมีอะไรวิ่งเป็นริ้วๆอยู่แถวบริเวณตับว่าขอให้มาปรากฏภายนอกให้ได้เห็นเป็นตัวอย่างของการศึกษาทางการแพทย์ ก้อนเนื้อนี้ก็ขยายขนาดตั้งแต่ขนาดไข่จิ้งจกกลายเป็นไข่เป็ดและท้ายที่สุดฝีที่คอท่านก็แตกก่อนมรณภาพไม่นาน ตลอดเวลาที่ถูกรบกวนด้วยเนื้อร้ายนี้ท่านไม่เคยต้องพึ่งหยูกยาแม้สักเพียงครึ่งเม็ด (แม้กว่าจะให้ทำแผลได้หมอก็ต้องอธิบายว่าไม่ได้เป็นการทำลายคือฆ่าเชื้อโรคแค่เป็นการบรรเทาและทำความสะอาดเท่านั้น)ไม่เคยอนาทรร้อนใจรู้สึกเจ็บปวดจนเป็นที่น่าเวทนาทั้งๆที่ควรจะเป็นจนเป็นเรื่องที่แพทย์ฉงน เรื่องนี้พระมหาอำพันพูดสั้นๆว่าเห็นมีท่านองค์เดียวนี่ล่ะที่เป็นมะเร็งแล้วไม่มีอาการทุรนทุรายจากความเจ็บปวด ทั้งยังลงทำวัตรสวดมนต์เสียงดังแจ่มใสกังวานไพเราะชัดเจนแจ่มแจ้งกว่าพระทุกรูปในโบสถ์วัดเทพฯด้วยซ้ำ เป็นเรื่องที่อัศจรรย์ใจจริงๆ สำหรับเรื่องการฝึกจิตวิปัสสนากรรมฐานพระมหาอำพันได้รับแนวทางการฝึกกสิณขาวจากท่านเจ้าคุณนรฯ วิธีการนี้ท่านเจ้าคุณนรฯฝึกตามโยมพ่อมาตั้งแต่สมัยเป็นมหาดเล็กของล้นเกล้ารัชกาลที่6 ท่านจะใช้เวลาว่างนอกเวลาราชการฝึกนั่งเพ่งกระดาษขาวที่ตัดเป็นรูปวงกลมจนสามารถจดจำรูปภาพนี้ได้ติดตาแม้ขณะหลับตาอยู่จนถึงสามารถเพิ่มจำนวนวงและย่อขยายขนาดภาพกสิณนี้ได้ตามใจปรารถนาตั้งแต่ครั้งยังเป็นฆราวาส(ขณะที่มหาดเล็กคนอื่นใช้เวลาว่างหาความสำราญจากความบันเทิงนานาชนิดแต่ท่านเจ้าคุณนรฯจะเก็บตัวอยู่ในห้องเพื่อฝึกจิตหรือไม่คราวเสด็จประพาสก็จะปลีกตัวไปนั่งสมาธิในป่าช้า) เรื่องกสิณขาวนี้ท่านเจ้าคุณนรฯใช้ประกอบการดูลายมือตามหลักโหราศาสตร์คือใช้ดูให้ละเอียดลึกลงไปขณะท่านฝึกวิชานี้ตั้งแต่ก่อนบวช(เลิกหลังบวชได้ไม่นาน) จึงไม่แปลกเลยที่คำทำนายของท่านจะแม่นยำดังตาเห็นจนใครๆก็ไม่กล้าแบมือให้ดูเพราะกลัวว่าจะล่วงรู้เรื่องลับที่ไม่ดีที่แอบไปทำมา นอกจากนี้ท่านเจ้าคุณนรฯยังสอนให้ฝึกปราณแบบโยคะ (ท่านอ่านจากตำราที่ชื่อว่า Scienec of Breath ของโยคีรามจักร) ท่านยังเคยเสนอวิธีการบริหารร่างกายประจำวันเป็นจดหมายถวายต่อสมเด็จพระอุปัชฌาย์แม้ในขณะที่ท่านชราภาพท่านจะใช้ท่าโยคีมุทรา(การทำโยคะด้วยมือ)เพราะเป็นท่าที่ไม่ต้องออกแรงมากจึงเหมาะกับผู้สูงอายุ หนึ่งในผลแห่งการฝึกปฏิบัตินี้ช่วยให้ท่านคงวัตรปฏิบัติอันเคร่งครัดที่ว่าไม่ขอพึ่งหยูกยาและพบหมอยามเจ็บไข้ได้ป่วยในหลายๆคราว โดยเฉพาะอย่างยิ่งครั้งหนึ่งหลังจากเพิ่งฟังพระเทศน์ในวันพระเย็นนั้นขณะท่านกำลังจะเดินขึ้นบันไดไปชั้นบนของกุฏิ ท่านรู้สึกว่าร่างกายซีกซ้ายหมดแรงไปดื้อๆพาให้ท่านต้องทรุดลงหมดแรงเหมือนการเป็นอัมพาตชั่วขณะ ท่านได้ใช้มือขวาคลำหัวใจเพื่อตรวจชีพจรพบว่ายังคงเดินตามปกติ ท่านได้ใช้วิธีการเดินลมปราณมายังซีกซ้ายด้วยวิธีการ Directing the circulation ที่ท่านได้อ่านมาจากตำราของโยคีด้วยการหายใจให้มีจังหวะอัตราเร็วเท่าอัตราการเต้นของชีพจร ต่อมาท่านเริ่มรู้สึกว่าร่างกายซีกซ้ายอบอุ่นขึ้นและสามารถพ้นผ่านวิกฤติแห่งโรคภัยครั้งนี้ได้ เรื่องนี้ท่านเล่าให้พระมหาอำพันฟังเสียดายว่าท่านมหาอำพันไม่ได้ถามไว้ให้ละเอียดว่าการหายใจให้เร็วเท่าชีพจรนั้นทำอย่างไร หลายครั้งหลายคราในตอนเย็นหลังเสร็จกิจการลงทำวัตรสวดมนต์เย็นพระเถระทั้ง2รูปจะเดินชมบริเวณวัดด้วยกันก่อนแยกย้ายไปที่กุฏิ ท่านทั้งสองเคยสนทนากันเป็นภาษาอังกฤษ(ท่านเจ้าคุณนรฯมีความชำนาญในภาษาอังกฤษและฝรั่งเศสเป็นอย่างมากขณะที่ท่านมหาอำพันเคยสอบชิงทุนไปเรียนเมืองนอก) เล่าเรื่องนี้พาให้นึกถึงเรื่องที่มีพระฝรั่งชาวต่างชาติมาขอคำแนะนำเรื่องการระงับกามวิตก ซึ่งท่านมหาอำพันได้ฟังแล้วชอบใจจึงขอท่านให้บอกเพื่อจดเป็นลายลักษณ์อักษรพร้อมคำแปลเป็นภาษาไทย จากนั้นพระมหาอำพันจะนำเรื่อง "หน่ายกาม" นี้มาใช้สอนลูกศิษย์ลูกหาทั้งยังกำชับว่าถ้าทำได้ก็จะได้เป็นพระอนาคามี(ระดับก่อนถึงพระอรหันต์ไม่มีการกลับมาเกิดอีก) พูดถึงเรื่องพระอนาคามีก็จะมีเรื่องที่ท่านกล่าวไว้กับสมเด็จพระญาณวโรดม เจ้าอาวาสวัดเทพฯองค์ปัจจุบันว่าพระอนาคามีไม่มีสุกกะ(อสุจิ)แล้วเพราะตัดกามตัณหาได้หมด เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่มีในพระไตรปิฎกแต่ท่านล่วงรู้ได้ด้วยจิตของท่านเองซึ่งเป็นการระบุถึงธรรมะอย่างน้อยที่ท่านได้บรรลุเป็นอย่างดี ความเมตตาเป็นอย่างมากของท่านเจ้าคุณนรฯที่มีต่อพระมหาอำพันนี้มีเรื่องเชิงปาฏิหารย์อยู่เรื่องหนึ่งคือตอนที่ท่านมหาอำพันเป็นโรคเกาต์ไม่สามารถไปลงโบสถ์ได้ พระมหาอำพันท่านรู้สึกด้วยตัวเองว่าเหมือนมีกระแสพลังมาเยียวยาให้ท่านหายจากทุกขเวทนานี้ในระยะเวลาไม่นาน ครั้นพอเดินได้ท่านได้ไปพบท่านเจ้าคุณนรฯและได้ถามข้อสงสัย ท่านเจ้าคุณนรฯได้บอกว่า "I am sending you a supply of metal force or power, which will invigorate and heal you" แปลความเป็นไทยง่ายๆได้ว่าผมกำลังส่งพลังอำนาจจิตไปยังท่านเพื่อช่วยให้ท่านมีกำลังและรักษาท่าน และด้วยความเมตตาอย่างล้นเหลือพระมหาอำพันก็หายจากโรคนี้ได้ด้วยอำนาจอิทธิแห่งกระแสจิตของท่านเจ้าคุณนรฯนั่นเอง เรื่องราวความมหัศจรรย์ของท่านเจ้าคุณนรฯที่พระมหาอำพันและลูกศิษย์ได้ประสบมายังมีอีกครับ นายตำรวจผู้หนึ่งได้เคยมาขอเหรียญจากท่านเจ้าคุณนรฯ(ซึ่งท่านไม่เคยมีพระเครื่องไว้แจก) ท่านว่า "รูปเอาไปก็ทำหาย เอานามไปสิ" ต่อมานายตำรวจผู้นี้ไปต่อสู้กับผู้ร้ายที่ตรอกไข่แล้วโดนเชือดคอเป็นแผลฉกรรจ์แต่ยังคงระลึกถึงท่านด้วยการภาวนาฉายานามทางธรรมของท่านคือธัมมะวิตักโกอยู่โดยตลอด นายตำรวจได้เห็นจีวรแวบผ่านตาไปขณะอยู่ที่โรงพยาบาลพร้อมได้ยินเสียงลึกลับที่บอกให้สวดแผ่เมตตาแก่วิญญาณที่เคยนอนเตียงนี้ เมื่อมีกำลังพอพูดได้มีสติจึงร้องขอแอมโมเนียตามคำแนะนำที่ได้ยินเพียงคนเดียวหลังจากนั้นก็รอดจากเหตุร้ายนี้มาได้ เรื่องการภาวนาคำว่า ธัมมะวิตักโก นี้พระมหาอำพันเน้นมากใช้สอนลูกศิษย์ให้ภาวนาท่านว่าเป็นคาถาที่ศักดิ์สิทธิ์ถ้าภาวนากลางฝนก็เหมือนได้รับน้ำมนต์จากท่านเจ้าคุณนรฯ เพราะครั้งหนึ่งที่มีคนไปขอรูปจากท่านเจ้าคุณนรฯท่านยังว่ากายเน่าเอาไปทำไม เอานามสิ ท้ายที่สุดนี้มีเรื่องคำทำนายของท่านมาเล่าให้ฟังครับคือว่าท่านทำนายไว้ว่าพระมหาอำพันจะได้สร้างโบสถ์และเมื่อสร้างเสร็จจะมรณภาพ เรื่องนี้ก็เกิดขึ้นจริงแม้ขณะนั้นท่านเจ้าคุณนรฯได้มรณภาพไปแล้ว ด้วยบารมีแห่งท่านเจ้าคุณนรฯจึงทำให้มีผู้มาบูชาพระและทำบุญกับพระมหาอำพันจนสามารถสร้างโบสถ์วัดสนามรัตนาวาส จ.ระยอง จนสำเร็จสวยงาม โบสถ์นี้ตั้งอยู่บนเขาท่ามกลางป่าไม้ร่มรื่นงดงามเป็นโบสถ์หินอ่อนที่ตรงส่วนของหน้าบรรณจารึกฉายานามของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์และท่านเจ้าคุณนรฯไว้ ภายในโบสถ์ประดิษฐานรูปหล่อของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(ภายในบรรจุอัฐิของท่านที่แปรสภาพเป็นพระธาตุ)และรูปเหมือนของท่านเจ้าคุณนรฯที่บรรจุฟัน1ซี่(มอบให้พระมหาอำพันไว้) ผ้าซับรอยเท้าท่านเจ้าคุณนรฯ1ผืนและบุพโพกับเศษจีวรที่ได้จากการอธิษฐานขอ (หลังสมเด็จพระราชินีรับสั่งให้เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังเก็บอัฐิและอังคารจากเตาเผาให้หมดแล้วปรากฏว่าตอนที่ท่านมหาอำพันเข้าไปตรวจสอบดูได้พบบุพโพกับเศษจีวรชิ้นเล็กๆตามที่ปรารถนา) เมื่อโบสถ์เสร็จท่านมหาอำพันก็ถึงวาระกาลมรณภาพไปจริงๆ เหลือทิ้งไว้ซึ่งคุณงามความดีให้อนุชนรุ่นหลังได้รับรู้และปูชนียสถานที่สร้างเสร็จ ทั้งหมดนี่คือเรื่องเล่าจากพระเถระรูปหนึ่งซึ่งครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้วเป็นพระบวชใหม่ที่สนิทกับท่านเจ้าคุณนรฯมากเพราะบวชในเวลาใกล้เคียงกัน ท่านเจ้าคุณนรฯมีความเมตตาเคยพูดไว้ไม่ให้บอกใครก่อนท่านมรณภาพว่า "ถึงท่านจะบวชก่อนผมแต่ท่านอายุน้อยกว่าผม5ปีผมก็รักท่านเหมือนน้อง" และครั้งหนึ่งขณะพระมหาอำพันได้เป็นพระครูใหม่ๆท่านเจ้าคุณนรฯยังพูดล้อเล่นด้วยว่า "ไม่อยากเข้าใกล้พระครู เหม็นสาบจีวรไม่ได้ซัก" นี่คือเรื่องที่พระภาวนาปัญญาวิสุทธิ์(อำพัน บุญ-หลง)ได้บันทึกไว้ครับ

อ้างอิงจากข้อความบางตอนในหนังสือที่ระลึกครบรอบ๑๐๐ปีหลวงปู่มหาอำพัน ๑๘ สิงหาคม ๒๕๔๔  

                                               """""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
โรคร้ายพ่ายบารมีธรรม

เรื่องที่ขอบันทึกไว้ในหนังสือเล่มนี้อีกเรื่องเป็นประสบการณ์ส่วนตัวของ พ.อ.จิตต์ ธนะโชติ ที่ได้ถ่ายทอดไว้ให้อนุชนรุ่นหลังได้ทราบ ในที่นี้ขอเรียกแทน พ.อ.จิตต์ ว่าคุณจิตต์เพื่อให้เกิดความง่ายต่อการเล่าเรื่อง คุณจิตต์ได้พบกับพระภิกษุพระยานรรัตน์ราชมานิตหรือท่านเจ้าคุณนรฯ ธมฺมวิตกฺโกภิกขุ แห่งวัดเทพศิรินทราวาส เมื่อปลายปี๑๓ ผ่านการแนะนำของ ศ.น.อ.ดร.เจริญ เจริญรัชต์ภาคย์ แม้จะเป็นระยะเวลาอันสั้นแต่ก็ได้มีโอกาสสักการะ3-4ครั้งและจำได้ว่าครั้งสุดท้ายนั้นเป็นเวลาก่อนที่ท่านจะมรณภาพไม่ถึงเดือน สาเหตุที่คุณจิตต์นับถือท่านอย่างยิ่งยวดก็มาจากการที่พบว่าท่านเป็นพระสงฆ์ที่น่าเลื่อมใสมากที่สุดในบรรดาพระเถระที่เคยได้พบปะและฝากตัวเป็นลูกศิษย์เช่น หลวงพ่อโอภาสีแห่งอาศรมบางมด หรือพระอาจารย์ลี วัดอโศการาม หลังจากที่ได้สนทนาธรรมกับท่านเพียงครั้งเดียวก็ทราบได้ว่าท่านต้องมีความพิเศษเหนือพระรูปอื่นหรือพูดง่ายๆคือพระรูปนี้ไม่ธรรมดาแน่ คุณจิตต์ประเมินด้วยตัวเองว่าท่านต้องมีภูมิธรรมเป็นถึงพระอริยเจ้าอย่างแน่แท้และน่าจะบรรลุขั้นสูงสุดคือสำเร็จเป็นพระอรหันต์อย่างไม่ต้องเคลือบแคลงใจ เพราะคุณจิตต์ชี้ชัดลงไปตรงๆว่าการมรณภาพดับขันธ์ของท่านนั้นน่าจะเรียกว่าการเดินเข้าสู่แดนพระนิพพานที่หลุดพ้นจากห้วงวัฏสงสารของการเวียนว่ายตายเกิด ถ้าจะว่าไปสาเหตุที่ชักนำให้คุณจิตต์ได้มีโอกาสกราบนมัสการท่านก็ค่อนข้างจะแตกต่างจากคนอื่น เรียกว่าเป็นความโชคดีในความโชคร้ายก็คงไม่ผิด เมื่อต้นปี๑๒ คุณจิตต์ได้ป่วยเป็นมะเร็งที่ปอดขวากลีบล่างสุด หลังจากผ่าตัดเป็นระยะเวลา ๒๐ เดือน ข่าวร้ายที่ทำให้ต้องเข่าอ่อนจนคิดว่าคงจะไม่มีชีวิตรอดอีกแล้วคือผลของฟิล์มเอ็กซเรย์ที่พบก้อนเนื้อกลมๆ เป็นมะเร็งที่กลีบปอดถัดมา นายแพทย์เจ้าของไข้ได้แนะนำว่าควรใช้วิธีการเดิมคือผ่าตัดทิ้งเนื่องจากโรคนี้ไม่สามารถใช้ยารักษาให้หายได้ คุณจิตต์เข้าใจว่าครั้งนี้คงจะเป็นการตัดส่วนที่เกิดเนื้อร้ายออกไปเท่านั้นแต่ทว่าความจริงกลับโหดร้ายกว่าที่คิดเนื่องจากจะต้องผ่าตัดเอาปอดซีกขวาออกไปทั้งหมดเพราะถ้าทิ้งเอาไว้อาจมีการลุกลามได้ คุณจิตต์รู้สึกสับสนขึ้นในใจเนื่องจากคาดคะเนถึงผลว่าจะมั่นใจได้อย่างไรว่าถ้าผ่าตัดแล้วจะไม่เกิดเหตุการณ์ซ้ำอดีตอีก ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นการผ่าออกเรื่อยไปสุดท้ายก็คงจะไม่เหลือปอดไว้ให้หายใจเป็นแน่เนื่องจากได้รับคำตอบว่าไม่สามารถยืนยันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าจะหายขาด คุณจิตต์กลับไปนอนคิดหลายวันกว่าจะตัดสินใจแบบการรบของทหารว่าจะขอสู้กับเนื้อร้ายนี้โดยไม่ยอมผ่าตัดให้เสียพื้นที่อีกแล้ว แม้ว่าหมอจะไม่ให้ยาก็จะไม่ง้อขอพึ่งการรักษาแผนโบราณหรือใช้เวทมนต์คาถาเฉกเช่นชาวบ้านทั่วๆไป ด้วยความเด็ดเดี่ยวคุณหมอจึงยอมบำบัดให้ด้วยด้วยยาจนเนื้อร้ายเริ่มยุบตัวลง คุณจิตต์ได้รู้จักกับคุณเจริญที่วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรและมีการแนะนำให้ไปสักการะท่านเจ้าคุณนรฯเป็นครั้งแรกที่โบสถ์วัดเทพฯหลังการทำวัตรเย็น วันนั้นคุณจิตต์ได้เตรียมผ้าไตรจีวร ชาจีน พวงมาลัยมะลิและธูปเทียนไปถวายท่าน พอท่านสวดมนต์เสร็จคุณเจริญได้แนะนำคุณจิตต์ให้ท่านรู้จักพร้อมกับขอถวายของและกราบนมัสการ เมื่อท่านทราบหน้าที่การงานก็แนะนำว่าดีแล้วขอให้ช่วยกันทำให้บ้านเมืองเจริญช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากและจงซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินไว้ ทำดีไว้เถิดดีกว่าขอพรและจงประกอบกรรมด้วยความเมตตากรุณาไว้เถิดภัยใดๆก็ไม่อาจพ้องพาลได้ เมื่อท่านพูดจบคุณจิตต์ได้กล่าวว่า "ท่านก็เป็นมะเร็ง ผมก็เป็นมะเร็งดังปรากฏว่าผมร่วงหมดเพราะฤทธิ์ยารักษาดังที่เห็นอยู่นี้ แต่ผมสังเกตดูท่านพระคุณเจ้าจะเดือดร้อนเป็นทุกข์เพราะโรคก็หาไม่ ผมจึงใคร่ขออาราธนาบารมีแห่งพระคุณเจ้าช่วยคุ้มครองรักษาให้พ้นจากทุกข์อันเกิดจากโรคร้ายนี้ด้วยเถิด" แล้วคุณจิตต์ก็เล่ารายละเอียดของการเจ็บป่วยให้ท่านฟังตั้งแต่ต้น เมื่อฟังจบท่านก็กล่าวขึ้นบ้างแต่คำพูดนั้นคุณจิตต์รู้สึกว่าหมดกำลังใจลงทันที ท่านกล่าวว่า "โรคนี้เป็นโรคร้ายแรงมากยังไม่มีใครรักษาให้หายได้และสั่งสอนต่อไปว่าเกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นของธรรมดาของสัตว์ทั้งหลาย เป็นของไม่เที่ยงและไม่มีใครสามารถบังคับบัญชาได้"  คุณจิตต์รู้สึกท้อแต่เมื่อฉุกคิดถึงเรื่องที่ว่าท่านได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันตเจ้าผู้เข้าใจในอริยสัจสี่อย่างแจ่มแจ้งแม้แต่ตัวท่านเองก็ไม่ยอมให้ใครรักษาคงให้แต่ทำความสะอาดบริเวณเนื้อร้ายนี้ได้แต่พอบรรเทาไม่เป็นการฆ่าเชื้อโรคก็พอจะเข้าใจได้ แต่ตัวคุณจิตต์เองเล่าก็เป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาที่ยังคงมีกิเลสไม่อาจแยกกายกับใจออกจากกันเช่นท่านได้จึงหวังในความเมตตาของท่านเท่านั้นว่า "แม้ท่านจะไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตแต่ท่านก็อาจใช้อำนาจบารมีช่วยให้มะเร็งร้ายไม่เจริญแพร่ออกไปก็ได้และสามารถดำรงชีวิตต่ออีกได้นานพอควร"  คุณจิตต์ได้กราบเรียนอ้อนวอนท่านอีกพร้อมตั้งสัจจะว่าถ้ายังไม่ถึงที่ตายแล้วก็ขอให้ท่านโปรดเมตตาด้วยเถิดเนื่องจากเชื่อมั่นว่าบารมีของท่านจะช่วยได้ เพราะเป็นที่ประจักษ์อยู่แล้วว่ามะเร็งที่ท่านเรียกว่าฝีสบายที่กำลังแตกมีน้ำเหลืองไหลปนเลือดและหนองนั้นน่าเป็นที่ทรมานที่สุดสำหรับคนทั่วไปแต่ท่านกลับไม่แสดงออกถึงอาการเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย ท่านนั่งตัวตรงแทบจะไม่เขยื้อนพูดสนทนาด้วยเสียงที่แจ่มใสดังกังวานด้วยใบหน้าที่ดูอิ่มเอิบผ่องใสเป็นประกายจับกับสีผ้ากาสาวพัสตร์งดงามตารับกับริมฝีปากบางสีแดงสดใสที่เอ่ยขึ้นอย่างกับว่ารู้ใจว่าให้เข้าไปรับแก้วน้ำจากท่าน คุณจิตต์รับแก้วเปล่ามาตักน้ำมนต์ที่ตุ่มลายมังกรหน้ารูปหล่อสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ที่อยู่เบื้องซ้ายของพระประธานมามอบให้ท่าน ท่านได้อธิษฐานจิตให้เป็นเวลานานในขณะที่คุณจิตต์ก็ได้อาราธนาคุณพระรัตนตรัย คุณบิดามารดาทั้งบารมีของท่านเจ้าคุณนรฯช่วยคุ้มครองรักษา เมื่อท่านลืมตาขึ้นได้เรียกให้เข้าไปหาและอยู่ในอิริยาบถนั่งตัวตรงลืมตาอ้าปากเงยหน้ามองเพดานโบสถ์ ท่านได้กรอกน้ำมนต์จากแก้วให้หลังจากนั้นท่านได้ถามว่าเคยฝึกสมาธิวิปัสสนาบ้างหรือไม่ คุณจิตต์เรียนตอบท่านไปว่าเคยฝึกมาตั้งแต่เด็กแต่ไม่ได้ทำเป็นประจำทั้งยังเป็นการฝึกสมาธิมิใช่วิปัสสนา ท่านว่าดีแล้วให้ทำอย่างต่อเนื่อง คุณจิตต์รู้สึกชื่นใจและปลาบปลื้มใจที่ท่านเมตตาเนื่องด้วยกิตติศัพท์แห่งอำนาจกระแสจิตของท่านนั้นเป็นที่รู้จักมาตั้งแต่คราวที่ปลุกเสกพระเครื่องซึ่งตั้งพิธีนอกวัดเทพฯขณะที่ท่านบริกรรมอยู่ในกุฏิ คุณจิตต์รู้สึกว่าตัวเองมีบุญอย่างสูงที่ชีวิตนี้ได้มีโอกาสพบพระอริยะเช่นท่าน ขณะที่สนทนาคุณจิตต์ได้นำกล้องสูบยาวางไว้ข้างตัวเพราะยังเลิกบุหรี่ไม่ได้เนื่องจากสูบมานานแล้ว ท่านถามว่าสูบมานานแล้วหรือ คุณจิตต์ตอบท่านว่าสูบบุหรี่มาตั้งแต่อายุ๑๐ขวบเพิ่งจะเปลี่ยนมาสูบยาเส้นเมื่อไม่นานมานี้ ท่านแนะนำว่า "เลิกเสียไม่ดีกว่าหรือ ไม่มีประโยชน์แก่ปอด"  คุณจิตต์รับปากกับท่านอย่างง่ายดายแม้ก่อนหน้านี้หมอที่รักษาได้ขอร้องก็ไม่ได้เชื่อฟัง ท่านได้ลูบคลำจีวรที่นำไปถวายพร้อมทั้งบอกว่า "ดีเหมือนกันเพราะมีอยู่ชุดเดียว เปื้อนเลือดและน้ำหนองอยู่แล้วจะได้ผลัดเปลี่ยนบ้าง แต่เกรงว่าสีจะไปเหมือนท่านเจ้าอาวาสเท่านั้น"  ท่านได้เรียกให้พระมหาสงัดเข้าไปรับจากมือไปไว้ที่กุฏิ (จากหนังสือพระมหาสงัดได้บันทึกไว้ว่าท่านใช้จีวรแค่สามผืนพอครบปีจึงจะเปลี่ยนครั้งหนึ่งแต่พอมาปลายปี๑๓ฝีที่คอท่านแตกจึงทำให้จีวรเลอะเป็นรอยจากเลือดและหนองที่คอต้องซักอยู่เสมอท่านจึงรับไว้หลังจากนั้นไม่นานมีนายตำรวจอีกท่านมาถวายผ้าไตรจีวรอีกท่านรับไว้แต่ยกให้พระมหาสงัดซึ่งพระมหาสงัดเองก็ไม่ได้นำไปใช้คงเก็บไว้ตัดแจกเพราะเป็นของที่ได้รับจากมือท่าน) หลังจากนั้นท่านก็พูดคุยกับคุณเจริญเรื่องการจัดพิมพ์หนังสือคำสอนแจกเป็นธรรมทาน (หนังสือที่ว่านี้คือสันติวรบทในแบบที่แตกต่างกับของพลโทเฉลิมชัยโดยจะมีรูปเล่มที่เล็กและบางกว่า หน้าปกใช้ชื่อว่าไหว้๕ครั้งและกายบริหารของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ธรรม๙บทของท่านพระธมฺมวิตกฺโก) ซึ่งคุณจิตต์ก็ได้รับมาหลายเล่มแต่ความสุขใจที่ได้นั้นคงจะไม่มีอะไรที่มีค่าเกินไปกว่าความเมตตาของท่านที่เปรียบเสมือนน้ำทิพย์อันศักดิ์สิทธิ์ช่วยชุบชีวิตและจิตใจให้มีความหวังอยู่ในโลกใบนี้ต่อไปอย่างภาคภูมิใจ หลังจากนั้นคุณจิตต์ได้พบกับท่านอีก2-3ครั้งและทุกครั้งที่มาหาท่านก็เมตตากรอกน้ำมนต์ให้ ยิ่งได้คุยกับท่านมากขึ้นคุณจิตต์ก็พบกับความมหัศจรรย์ที่ท่านมีคือเรื่องต่างๆที่คุยท่านจะล่วงรู้จิตใจได้ทั้งยังเล่าเรื่องสมัยพุทธกาลให้ฟังได้เป็นฉากๆอย่างตาเห็นจนทำให้คุณจิตต์มีความเชื่อมั่นอย่างสุดใจว่าท่านไม่ใช่พระภิกษุสงฆ์ธรรมดาแน่ๆ แต่ท่านต้องเป็นพระอริยเจ้าที่จะต้องบรรลุภูมิธรรมถึงขั้นอรหันต์เลยทีเดียว เรื่องนี้คุณจิตต์บอกว่าเป็นประสบการณ์เฉพาะตัวที่อธิบายยากแต่โดยส่วนตัวแล้วเป็นคนที่ไม่งมงายไร้เหตุผลแต่ก็ต้องจนแต้มยอมรับโดยดุษฎีภาพว่าท่านนั้นเป็นพระเถระที่เป็นสุดยอดแห่งอริยสงฆ์ยุคหลังกึ่งพุทธกาลจริงๆ พิจารณาดูแล้วเห็นจะจริงตามที่พระพุทธองค์เคยตรัสไว้ว่าตราบใดที่ยังปฎิบัติตามอริยมรรคแปดได้โลกไม่ว้างเว้นจากพระอรหันต์ ซึ่งคุณจิตต์ตระหนักโดยส่วนตัวแล้วว่าพระอรหันต์ไม่มีวันสิ้นไปจากโลกถ้ายังมีผู้ที่สามารถปฏิบัติเช่นท่านได้ ก่อนจะจบขอทิ้งท้ายไว้ด้วยเรื่องที่คุณจิตต์ได้บันทึกไว้ก่อนจะเข้าโรงพยาบาลและถึงแก่กรรม เป็นเรื่องสมัยพุทธกาลที่คิดดูแล้ววิเคราะห์ได้ว่าท่านต้องสำเร็จในอภิญญาอตีตังสญาณคือเห็นเหตุการณ์ในอดีตได้จึงขอคัดลอกเอาบทความที่คุณจิตต์ได้บันทึกจากปากท่านมาลงไว้แบบเต็มๆ "แล้วท่านก็เล่าราวกับเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้าในขณะนั้น สมัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกระทำความเพียรเพื่อบรรลุตรัสรู้ทางธรรมอันประเสริฐยิ่งนั้น ที่บำเพ็ญธรรมเป็นป่าเขาเต็มไปด้วยสิงสาราสัตว์นานาชนิด แต่พระองค์ท่านก็ทรงดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยการแผ่เมตตาอันเปรียบเสมือนพระมหามงคลที่คุ้มภัยได้ทุกประการ บางครั้งฝนตกปรอยๆพระองค์ท่านก็ทรงเอาจีวรมาคลุมพระเศียรไว้ เสือสิงห์เดินผ่านเข้ามาใกล้มายืนดมที่พระเศียร ร้องโฮกปี๊บๆ แล้ว......"

อ้างอิงจากบันทึกของ พ.อ.จิตต์ ธนะโชติ เรื่องพระภิกษุพระยานรรัตน์ราชมานิต(ธมฺมวิตกฺโก)แห่งวัดเทพศิรินทราวาส จาหนังสืออนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ พ.อ.จิตต์ ธนะโชติ ปี๒๕๑๕

รวมรวม และเขียนโดย........ธีรวัชร    จรเจริญ

 
 
ตะกร้าพระเครื่อง

ดูตะกร้าพระเครื่อง
แจ้งการชำระเงิน
ตรวจสอบวันจัดส่ง
สถานะการส่งพระเครื่ง

พระเครื่องแนะนำ


เหรียญหันข้างพิมพ์ใหญ่ เนื้อทองคำ จัดสร้างเพียง 100 องค์เท่านั้นเองครับ


บาท


เหรียญหันข้างพิมพ์เล็ก เนื้อทองคำ จัดสร้างจำนวนน้อยมาก


บาท


เหรียญโภคทรัพย์ พิมพ์?เล็กเนื้อทองคำ สร้างเพียง 243 องค์เท่านั้น


บาท


หนุมาน 500 หลวงปูททิม พระสวยเดิม มีโค๊ต ตอก ตรงตามมาตราฐานสากล


บาท


รูปหล่อปั้มหลวงพ่อเงินฯบางคลานสร้างปี พ.ศ. 2515 สภาพสวยเดิม ๆ


บาท


เหรียญ ร.6 หลังรูปเหมือน พิมพ์เล็ก เนื้อทองคำ ราคา บาท พร้อมบัตรรับรองพระแท้


39000 บาท


พระกริ่งตากสินมหาราช ปี พระดีพิธียิ่งใหญ่ของค่ายอดิสร จังหวัดสระบุรี


15000 บาท


พระสมเด็จวัดระฆัง รุ่นอนุสรณ์ 100 ปี พิมพ์เส้นดายใหญ่ สภาพสวยเดิม ๆ


บาท


รูปเหมือนสมเด็จโต รุ่น100ปี วัดระฆังฯ เนื้อเงิน พิมพ์ 3 ชาย พร้อมบัตรรับรองพระแท้


บาท


เหรียญใบสาเกหลวงพ่อวัดบ้านแหลม เนื้อเงิน สวยเดิม พร้อมบัตรรับรองพระแท้


บาท

25-2-66
พระบูชารูปเหมือนสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์เจริญ


โชว์ บาท

25-2-66
พระรูปเหมือนใบธิ์ เนื้อนวโลหะ ปี 2512 แบบตอกโค๊ด


30000 บาท

25-2-66
พระนาคปรกใบขนุนเนื้อชินสังฆวานร พระสวยเดิม


9500 บาท

25-2-66
พระนาคปรกใบโพธิ์ 7 เศียร พิมพ์เล็กเนื้อนวโลหะ


AC บาท
บูชาแล้ว

25-2-66
เหรียญกนกข้างพิมพ์ใหญ่บล็อก ม.มีจุด (นิยม)


18500 บาท

25-2-66
พระไตรภาคีพิมพ์รูปเหมือนใหญ่เลี่ยมทองอย่างหนา


BD บาท
บูชาแล้ว

24/2/2566
พระปิดตา พิมพ์ตุ๊กตาใหญ่ เนื้อผงใบลาน ฝังตะกรุด


57000 บาท

24/2/2566
เหรียญเขียวในโลง หายาก เป็นเหรียญที่ใส่ไว้ในโลงท่านฯ


โทรถาม บาท

24/2/2566
พระสมเด็จ 3 ชั้นหลังยันต์นูน (เนื้อน้ำอ้อย)พิมพ์จัมโบ้


8000 บาท

21/02/66
เหรียญหลังเต่ารุ่นแรก บล็อกยันต์เคลื่อน


48000 บาท

6/10/65
เหรียญเขียวในโลง (เหรียญเอเชียนเกมส์) หายาก


โทรถาม บาท

6/10/65
พระผงหลวงพ่อพรหม รุ่นฉลองมณฑป พิมพ์ระฆังใหญ่


โทรถาม บาท

9/8/65
พระกริ่งสายฟ้า ตอกโค๊ต 1 ตัว


โทรถาม บาท

28/06/63
พระบูชารูปเหมือนท่านเจ้าคุณนรฯ รุ่นแรกหน้าตัก 5 นิ้ว


โทรถาม บาท

27/12/61
ออกใบรับรองพระแท้ ตอนนี้ท่านสามารถออกใบรับรองพระแท้ได้แล้วนะครับ ในนามร้านศักดิ์ ตลิ่งชัน


บาท

พระเครื่องแนะนำทั้งหมด