ชีวิตในวัยเด็ก
เมื่ออายุได้ประมาณ ๒-๓ ขวบ โยมผู้ชายพาติดตามเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์เมื่อครั้งยังดำรงสมณศักดิ์ที่พระธรรมไตรโลกาจารย์ ตำแหน่งเจ้าคณะมณฑลปราจีนบุรีและแม่กองสอบนักธรรมตรีในมณฑลปราจีนบุรีไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ในคราวเสด็จตรวจการสังฆมณฑลบนเรือทรงพำนักที่ศรีราชา สมเด็จพระมหาสมณเจ้า ฯ ทรงมีรับสั่งถามเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ว่า เด็กคนนี้เป็นใคร เจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ทูลว่า พ่อเขายกให้เป็นลูก สมเด็จพระมหาสมณเจ้า ฯ ทรงมีพระเมตตาอุ้ม เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ซึ่งยังเด็กมาก และยังไว้เปียขึ้นนั่งบนพระเพลา เรื่องนี้เป็นเกร็ดทางประวัติศาสตร์ที่เล่าขานในหมู่ศิษย์ในสำนักสมเด็จพระมหาสมณเจ้า ฯ ว่าหากพระองค์ทรงทักเด็กคนใดดังเช่นกรณีเจ้าคุณสมเด็จฯ เด็กคนนั้นมักจะต้องบวช และที่เมืองชลบุรี นอกจากเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ แล้วยังมีเด็กหญิงคนหนึ่งที่ทรงทักและต่อมาเด็กหญิงคนนั้นก็มาบวชเป็นแม่ชีอุ่นอยู่ในวัดใหญ่อินทาราม
ประวัติของเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ เท่าที่พรรณนามาและจะพรรณนาต่อไปมีหลายเรื่องเป็นที่น่าอัศจรรย์ที่ชวนให้ต้องคิดคำนึงถึงเรื่องชาติภพ เพราะเป็นเรื่องบอกเหตุการณ์อนาคตอย่างแม่นยำ ผ่านคำทำนาย ผ่านเหตุการณ์ และการกระทำต่าง ๆ ความเชื่อเรื่องชาติภพมิใช่สิ่งที่งมงาย ดังที่พระพุทธองค์ก็ได้ทรงบัญญัติไว้ในโลกิยสัมมาทิฎฐิ ข้อหนึ่งว่า เชื่อว่าชาติหน้ามีจริง และเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ เองก็พยายามสั่งสอนศิษยานุศิษย์ไม่ให้ประมาทในภพชาติให้เร่งรีบปฏิบัติตนให้เป็นคนดีอย่างน้อยก็ไม่ให้ขาดทุนคือเกิดชาติหน้าขอให้ได้เกิดเป็นคนอีก เพราะถ้าไปเกิดในภพภูมิที่ต่ำกว่าคนก็จะเป็นการยากมากที่จะได้สร้างสมกรรมดี เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ มีคติธรรมเกี่ยวกับกรรมอันข้องเกี่ยวกับชาติภพที่น่าสนใจว่า
ความดีย่อมสนองความดี ความชั่วย่อมสนองความชั่ว และ ถ้าการสนองนั้นมาถึงช้าก็เพราะเวลานั้นยังมาไม่ถึง ความเชื่อเรื่องชาติภพหากใครมีประจำใจก็เปรียบเสมือนได้เห็นหนทางไปสู่ความดีจึงเก็บรวบรวมประวัติของเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ที่เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้มาลงไว้ด้วยหวังประโยชน์ดังกล่าว
ครั้งหนึ่งโยมผู้ชายได้ทำการปฏิสังขรณ์อุโบสถวัดใหญ่ ด้วยการจ้างช่างปิดทองจากกรุงเทพ ฯ ไปปิดทองพระประธานจำนวน ๒๔ องค์ เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ เวลานั้นอายุได้ประมาณ ๓-๔ ขวบได้ตามไปด้วยและปีนขึ้นไปบนธรรมาสน์แสดงท่าทางเทศนา โดยมีลูกสาวของช่างปิดทองอายุรุ่นราวคราวเดียวกันนั่งพับเพียบฟังอย่างเรียบร้อยเป็นที่น่าเอ็นดูของผู้ใหญ่ จนภรรยานายช่างปิดทองบอกว่าลงมาจากกรุงเทพฯ คราวหน้าจะเอาของมาติดกัณฑ์เทศน์ และเมื่อกลับลงไปอีกครั้งก็ไม่ลืมสัญญาได้นำพระลงยามาให้เจ้าประคุณสมเด็จฯ เป็นกัณฑ์เทศน์ เรื่องนี้เสมือนเป็นเครื่องบอกเหตุว่า เป็นพระเถระผู้มีปฏิภาณ ชำนาญเชิงเทศนาโวหารท่านเป็นผู้แสดงพระธรรมเทศนา ประจำวันพระธัมมัสสวนะ และวันอาทิตย์ในพระอุโบสถวัดเทพศิรินทราวาส กิจแผนกนี้ถือเป็นกิจวัตรสำคัญไม่จำเป็นไม่ขาดเลย ได้รับการยกย่องว่าเป็นพระเถระที่มีความสามารถในการเทศน์ธรรมวัตรปากเปล่า ด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคง สำเนียงฉะฉาน เพียบพร้อมด้วยความไพเราะของภาษาและความรู้อรรถธรรมอันมโหฬาร ท่านจึงเป็นยอดพระธรรมถึกองค์หนึ่งแห่งยุค ถึงขนาดที่ ท่านเจ้าคุณพระราชพรหมาจารย์ (จำรัส ภัทโท) แห่งอดีตเจ้าอาวาสวัดใหญ่อินทาราม โดยขอติดกัณฑ์เทศน์ถึง ๑๐๐,๐๐๐ บาท แต่เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ก็ปฏิเสธไปด้วยความถ่อมตัว (จากคำบอกเล่าหนึ่งเมื่อท่านไปเทศน์ออกรายการวิทยุกระจายเสียงโดยคำเทศน์นั้นเป็นที่ถูกใจของพระมหาเถระชั้นสมเด็จองค์หนึ่ง สมเด็จองค์นั้นสู้อุตส่าห์เดินทางมารอพบที่หน้ากุฏิเพื่อขอคัดลอกสำเนาเทศน์ เทศนาลีลาวิถีอันวิจิตรประณีตของเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ เป็นที่ประจักษ์แก่สาธุชนที่เคยได้สดับรับฟังโดยถ้วนทั่วกัน
เมื่ออายุได้ประมาณ ๔-๕ ขวบ โยมผู้ชายเคยพาไปจวนข้าหลวงเมืองชลบุรีในสมัยนั้นพระยาสัจจาภิรมย์ อุดมราชภักดี ( สรวง ศรีเพ็ญ ) ดำรงตำแหน่งข้าหลวง ( หรือตำแหน่งผู้ว่าราชการในสมัยนี้พระยาสัจจาภิรมย์ดำรงตำแหน่งข้าหลวงเมืองชลบุรี ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๖๒ - ๒๔๗๑ )
พระยาสัจจา ภิรมย์ ได้ถามเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ว่า โตขึ้นอยากเป็นอย่างฉันไหม? เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ในตอนนั้นยังเป็นเด็กไม่รู้ความตอบทันทีว่า ไม่อยาก พระยาสัจจาภิรมย์ถามต่อไปอีกว่า แล้วโตขึ้นอยากเป็นอะไร? โยมผู้ชายเป็นผู้จำไว้ว่าเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ตอบไปอย่างเด็กยังพูดไม่ชัด แต่จับใจความได้ว่า อยากเป็นธรรมไตรโลกฯ
เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ เป็นผู้มีไหวพริบปฏิภาณเฉลียวฉลาดมาตั้งแต่เด็ก จึงเป็นที่รักใคร่เมตตาของญาติผู้ใหญ่โดยเฉพาะตาหรุ่น โพธิสุนทร ผู้เป็นบิดาของพระยาอาหารบริรักษ์ และขุนอภัยประศาสน์ (ใจ โพธิสุนทร อดีตนายกเทศมนตรีเมืองชลบุรี) ตาหรุ่นมีศักดิ์เป็นตาของเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ตาหรุ่นชอบทดสอบภูมิปัญญาเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ เสมอ วันหนึ่งเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ในวัน ๔-๕ ขวบไปเดินเล่นในเขตรั้วบ้านของตาหรุ่น ตาหรุ่นเรียกลูกสาวคือแม่แช่มมีศักดิ์เป็นป้าของเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ให้คอยมาดูแล้วก็แกล้งพูดเสียงดัง ๆ ว่า ไอ้เงินกินข้าวเสร็จแล้วไปไหน ไม่ยอมเฝ้าบ้าน ไอ้เงินเป็นชื่อแมวที่ตาหรุ่นเลี้ยง ตาหรุ่นแกล้งพูดกระทบเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ที่ไม่ยอมอยู่บ้าน แต่มาเดินเที่ยวเล่นในรั้วบ้านแก ปรากฎว่าได้ผลเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ในวันนั้นฟังรู้ความแต่วางภูมิด้วยทำอาการเฉย ๆ ไม่รู้ไม่ชี้อยู่พักหนึ่งแล้วจึงค่อยเดินกลับบ้าน ตาหรุ่นจำเรื่องนี้มาเล่าเป็นที่ชอบใจ
ก่อนเข้าโรงเรียนเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ เรียนเขียนอ่านที่บ้านโดยมีโยมผู้ชายเป็นครูคนแรก เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ สามารถอ่านเขียนได้ดีเกินกว่าเด็กในวัยเดียวกันจะทำได้วันหนึ่งโยมผู้ชายพาไปกราบพระอาจารย์เซ่ง อดีตอธิการวัดกลางชลบุรี พระอธิการเซ่งเป็นพระนักสะสม ที่ฝาผนังกุฏิมีรูปภาพเก่าใหม่มากมายประดับอยู่ เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ไปยืนอยู่ใต้รูปภาพหนึ่ง เป็นรูปพระพุทธเจ้าประทับนั่งบนก้อนศิลาใต้ร่มไม้ภัทรสาลพฤกษ์ ข้างขวามีช้างปาลิไลยก์หมอบราบอยู่กับพื้นชูงวงถวายคนโฑน้ำ ข้างช้างมีพญาลิงเผือกถือรวงผึ้งถวาย ที่ใต้ภาพมีตัวอักษรกำกับ พระอธิการเซ่งเห็นเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ยังเป็นเด็กเล็กนักจึงแกล้งสัพยอกว่า อ่านออกไหมล่ะ อ่านออกจะแกะให้ เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ จึงอ่านตัวหนังสือใต้ภาพถวายพระอธิการเซ่งให้ประหลาดใจว่า พระป่าเลไลยก์ คราวพระทะเลาะกันที่เมืองโกสัมพีฯ ตกเย็นนั้น ภาพนั้นก็อันตรธานจากฝาผนังกุฏิพระอธิการเซ่ง ไปติดอยู่ที่ผนังบ้านเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ แทน
ผู้มีความจำเป็นเลิศ
เมื่อถึงวัยต้องเข้าโรงเรียนเรียนหนังสือ ตาหรุ่น โพธิสุนทรผู้ประจักษ์ในไหวพริบเชาว์ปัญญาจึงเป็นผู้รับรองให้เข้าเรียนได้ โยมผู้ชายจึงพาเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ไปเข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียนชลราษฎรอำรุงที่โรงเรียนเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ นอกจากเป็นเด็กเรียนเก่งแล้ว ยังมีความจำเป็นเลิศถึงขนาดที่ต่อมามีผู้มาบอกว่าความจำของท่านเหมือนเอามีดกรีดไว้บนหิน หากกำหนดใจจำอะไรแล้วไม่มีวันลืม ท่านเคยปรารภให้ฟังว่าสมัยเด็กเมื่อครูเขียนกระดานดำแล้วลบทิ้งเพื่อน ๆ หลายคนจดบนกระดานที่ครูเขียนให้ไม่ทัน ท่านก็สามารถเขียนตามที่ครูเขียนไว้ได้ โดยอาศัยความจำ หรือเมื่อมาบวชเป็นสามเณรในพรรษาแรกก็สามารถท่องจำบทสวดพระปาฏิโมกข์ได้ เพื่อนร่วมชั้นเรียนของท่านที่มีชื่อเสียงได้แก่ พลตำรวจเอก พจน์ เภกะนันทน์ ( อดีตอธิบดีกรมตำรวจ ) คุณวิทูร จักกะพาก ( อดีตรองปลัดกระทรวงมหาดไทย ) คุณอุทัย กัปปิยบุตร ( อดีตอธิบดีกรมอัยการ )
ชีวิตวัยหนุ่ม
ชีวิตวัยหนุ่มที่ควบคู่กับวัยเรียนนั้น เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ เล่าให้ฟังว่าท่านใช้ชีวิตอย่างลูกผู้มีอันจะกินคนหนึ่ง โยมผู้ชายอนุญาตให้ทำอะไรได้ทุกอย่างยกเว้นเรื่องเดียวคือห้ามเล่นการพนันซึ่งท่านก็ไม่เคยแตะต้องเลย ท่านชอบชีวิตโลดโผนท่านจึงใช้ชีวิตแบบนักเลงเมืองชลบุรีในสมัยก่อน ไปไหนมาไหนก็นุ่งกางเกงแพรพกมีดพกไว้สำหรับป้องกันตัว เป็นมีดเนื้อดีแกะสลักอย่างสวยงาม มีดพกนี้นอกจากเป็นเครื่องป้องกันตัวแล้วยังเป็นเครื่องบอกฐานะของเจ้าของด้วย ท่านชอบท่องไปเที่ยวดูมหรสพตามที่ต่าง ๆ ภัตตาคารหรือเหลาในภาษาพื้นบ้านเพราะอยากรู้อยากเห็นว่าเป็นอย่างไรจึงไปดูมาทั่วหมด ยกเว้นแต่ไม่เคยข้องแวะกับสตรีเพศ ชีวิต ๑๕ ปี ก่อนบวชของท่านจึงรู้เรื่องราวของโลกมากเหลือเกิน
...........................................................................